8 ชั่วโมงที่แล้ว • ความคิดเห็น
เรื่องของปฏิบัติธรรมนั้น มันเหมือนกับ เตรียมตัว เครียมใจ เตรียมพร้อมที่จะ กายที่จิตอาศัย มาประพฤติปฏิบัติธรรม เราก็ต้องรู้จักเรื่องราว ของกาย ..กายนี้ เป็นของใคร .ที่ให้จิตเรามาอาศัย เมื่อเราจะประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยของใคร เรามาเดืนตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัครสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยขิงพระยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีอารมณ์ เรื่องราวของพระสาวก ท่านนอบน้อมต่อองค์พระสัมาสีมพุทธเจ้า
เมื่อเราระลึกได้ว่า จิตเรามาอารมณ์บ้านหลังนี้ กายนี้ .เป็นของคุณบิดามารดา ที่มีคำกล่าว นะโม ตัสสะ .เริ่มต้น ก็เป็นเรื่องของการนำธาตุุทั้งสองของคุณบิดามารดา .นอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะนำธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา มานั่งในอาสนะสวดมนต์ เราก็ควร นำกิริยาที่ดีมาใช้
เริ่มต้นตั้งแต่การนั่งพีบเพียบ การกราบพระ ..ก็ต้องมองดูที่มือตลอด ระลึกให้ได้ว่า เป็นมือของพ่อแม่ ที่เร่านำมากราบพระ ตาเราก็มองดูที่มือ ที่พนมขึ้นมา มือซ้ายมาดา มือขวาบิดา (ขณะนี้ เราไม่ได้ใช้มือนี้ไปสร้างกรรมอะไร) เราก็พูดให้หูเราได้ยิน เพื่อส่งไปให้จิต บันทึกการพูด การกระทำ ส่งไปเก็บไว้ที่ผธาตุทั้งสี่ เมื่อมานั่งในแท่นอาสนะนี้ เราบอกตัวเอง หายใจลึกๆ กลั้นลมหายใจ จิตจะได้นิ่ง แล้วค่อยๆปล่อยออกมา ดูกายนิ่งมั้ย
กายมันไม่นิ่ง เราก็ทำมือแข็งๆ นิ่งแข็งๆ กายจะได้นิ่ง จิตก็จะนิ่งตามกาย การปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อเริ่มต้นดี เริ่มต้นตั้งแต่การกราบ ที่เค้าว่า เอาจิตมากราบพระ ไม่ได้เอาอารมณ์มากราบ .มันก็ต้องเริ่มต้น ตั้งแต่การกราบ รู้จักพระคุณของธาตุทั่งสอง เมื่อเคลื่อนมือเคลื่อนกายลงกราบ ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดในการกราบ ที่เค้าเรียกว่า เอาจืตมากราบ ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระอานนท์ อีหลายพระองค์)
เรื่อวของการประพฤติปฏิบัติธรรม ที่เรามีการอธิษฐาน กล่าวไปตรงพระปฏิมากร นั้น ท่านก็นั่งนิ่งเฉย เราก็ฝึกทำบ้าง ..ค่ิยฝฝึก ..พระปฏิมากร ก็เหมือนเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนเป็นสมมุติอยู่ แต่ก็เปเรื่องของสมมุตินำพาไปหาพระวิมุตติ
คราวนี้ เรื่องของอารมณ์นั้น ก็มีเรื่องราวของธาตุทั้งสี่ เรื่องราวต่างๆมากมาย ที่เรียกว่า กรรมที่สะสมมา เมื่อเราจะเรืยนรู้จักไปถึง เรื่องราวของธาตุนั้น เราก็ต้องผ่านด่านของอารมณ์ เมื่อเราจะไปเรียนรู้จักเรื่องราวราวพายในกาย จิตเราก็ต้ิงมีแสง ..เหมือรไฟฉาย ไปส่องดู อะไรต่างๆ นั่นจึงเป็นเรื่องราว ที่ว่า จิตนั้น จุดเทียนธรรมขึ้นมา จิตมีแสงช่วยหนุนนำ จึงต้องมีการฝึกหัด
เริ่มตั้งอต่การกราบ แล้วจิตที่ท่านแยกกายได้จริงๆ อารมณ์อะไรก็ไม่เข้าไปรบกวนจิตท่านได้ เพราะมีแสงรัตนะภายในจิต แต่นั้นเป็นเรื่องราวของจิต ..ที่มีขันติเป็นบารมี มีปัญญาธรรมเกิดขึ้น แล้วก็เป็นเรื่องราวของจิตที่เดินทางเข้าใกล้พระอรหันต์ เช่น .เป็นพระอเสขะ เรื่องของพระอเสขะ ท่านก็แยกกาย แยกจิตได้ .มีพระท่านเรา ว่า สมมุติว่า จะไปเชียงใหม่ พอนึกว่าไป จิตไปถึงที่นั้น ธาตุทั้งสี่ก็ไปประกอบเป็นตัวเป็นตนให้
เรื่องราวของการกราบพระ สวดมนต์ ภาวนา ..นั้น . ผู้ที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ เค้ามองดู ..หากว่าเราไม่นอบน้อม ไม่ตั้งใจ มุ่งหาวัตถุมงคล คาถาอาคม อิทธิฤทธิ์โลกีย์ไม่สำรวมอินทรีย์ ไม่สำรวมอารมณ์ ไม่ระมัดระวังอารมณ์ ..อยากได้ อยากร่ำรวย ชื่อเสียง ..อะไรต่างๆ เค้าดูออก เค้าดูที่จิต..ดูแสงสี่ที่จิตได้ ดูจิตที่เป็นเรื่องของนามธรรม ที่มีสีดำสีเวรกรรม หรือ สีบุญกุศลบารมี
เมื่อเราทำดี ทำจริง..ไม่ได้ทำแบบล้อเล่น ทำสนุกสนาน ทำเพื่อจะรู้จักกรรม รู้จักธรรม สร้างบุญกุศลบารมีหนีกรรม สร้างด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เรียกร้องหาเวรกรรม ..เค้าก็อนุโมทนา..
มีพระท่านพูดให้ฟังบ่อยๆว่า ธรรมนั้น ต้องการคนจริง เห็นการสร้างบุญกุศลบารมี มีความสำคัญแก่จิตของตัวเอง ที่ต้องเดินทางออกจากกายนี้ไป
เรื่องการพิจารณาอะไรต่างๆ นั่นเค้าไปพิจารณา ตอนที่กายนิ่ง จิตนิ่ง ..ได้ ..หากกายไม่นิ่ง จิตไม่นิ่ง .อารมณ์ก็จะแทรกเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้ มาอุปโลกน์ เค้าจึงบอกว่า ฝึกหัดให้กายนิ่ง จิตนิ่ง ให้ได้เสียก่อน
โฆษณา