25 ก.พ. เวลา 02:09 • ยานยนต์

ค่าเปลี่ยนแบต EV จะถูกกว่าซ่อม ICE กับเหตุว่าทำไมรถยนต์ EV จะกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ราคาแบตเตอรี่ที่แพงลิบลิ่วเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังไม่บูมเต็มที่ในบ้านเรา ทั้งราคารถที่ตกเร็วเอามาก ๆ และความกังวลเรื่องค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถมือสองที่หมดประกันไปแล้ว แต่ถึงเวลาวางใจได้แล้ว เพราะยุคที่ต้องกลัวเรื่องค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่สุดโหดกำลังจะสิ้นสุดลง
1
Goldman Sachs ได้ออกรายงานล่าสุดระบุว่า ภายในปี 2026 ราคาแบตเตอรี่จะลดฮวบเหลือเพียง 80 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (KW-h) ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีมาก ๆ เพราะเป็นราคาแค่ครึ่งเดียวของราคาในปี 2023 และนี่คือการลดราคาลงเกือบครึ่งในเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น
1
ข่าวดีนี้ไม่ได้ส่งผลดีแค่เรื่องความสามารถซื้อรถ EV ได้ง่ายขึ้น แต่ยังดีต่อโครงการด้านพลังงานและเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนด้วย ด้วยราคาแบตที่ลดลงอย่างมหาศาล ราคารถ EV ใหม่จะเทียบเท่ารถยนต์น้ำมันภายในปี 2026 ( *** ข้อมูลเป็นในตลาดสหรัฐอเมริกา เพราะในไทยตอนนี้เหมือน EV จะราคาถูกกว่ารถน้ำมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)
1
แต่ความเจ๋งจริง ๆ อยู่ที่ตลาดรถ EV มือสองและการเปลี่ยนแบตเตอรี่ต่างหาก ข้อเท็จจริงที่คนมักลืมคือ คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อรถใหม่
ทั้งรถน้ำมันหรือรถไฟฟ้า ราคาขายปลีกที่แนะนำ (MSRP) นั้นสูงปรี๊ดเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่อยากควักเงินจ่าย ทำให้ประมาณ 75% ของผู้ซื้อต้องหันไปหารถมือสองแทน
ความกังวลใหญ่สุดของคนซื้อรถ EV มือสองคือสุขภาพแบตเตอรี่ และความกลัวค่าเปลี่ยนแบตฯ ที่อาจทำให้กระเป๋าฉีก (แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยก็ตาม)
แต่สถานการณ์กำลังจะถึงจุดเปลี่ยน เมื่อราคาแบตถีบตัวลง การเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่จะกลายเป็นเรื่องจับต้องได้ ซึ่งอีกไม่นานการเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่จะมีราคาถูกกว่าการเปลี่ยนเครื่องยนต์สันดาปซะอีก
2
ยิ่งไปกว่านั้น ต่างจากรถยนต์น้ำมันที่มีชิ้นส่วนเคลื่อนที่เป็นร้อย ซึ่งมักก่อปัญหาเมื่อใช้งานไปนาน ๆ รถ EV มีชิ้นส่วนเคลื่อนที่น้อยกว่ามาก ทำให้สึกหรอช้ากว่าด้วย
2
อีกอย่างที่ต้องย้ำคือ การเปลี่ยนแบตเตอรี่เกิดขึ้นน้อยมาก และส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การรับประกันพิเศษที่คุ้มครอง 8 ปีหรือระยะทาง 100,000 ไมล์ (ประมาณ 160,000 กิโลเมตร) หรือมากกว่า อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนโดยทั่วไปยาวนานถึง 200,000 ไมล์ (ประมาณ 322,000 กิโลเมตร) หรือมากกว่าเลยทีเดียว
รายงานล่าสุดของ Goldman Sachs เมื่อตุลาคม 2024 ประเมินว่าราคาชุดแบตเตอรี่ในปี 2030 จะอยู่ที่ 64 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เมื่อเทียบกับการคาดการณ์อื่น ๆ ตัวเลขนี้ถือว่าสูงไปหน่อย
ย้อนไปเมื่อมกราคม 2024 RMI ผู้นำในวงการนี้ประเมินราคาเซลล์แบตเตอรี่ในปี 2030 ไว้ที่ 32-54 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือ 45-65 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงสำหรับชุดแบตเตอรี่ครบชุด
แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คือ ในปี 2024 ที่ผ่านมานี้เอง CATL เริ่มเสนอขายเซลล์แบตเตอรี่ LFP ในราคาต่ำเพียงแค่ 56 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และ BYD ก็ตามมาติด ๆ
Clean Energy Associate ยังคาดการณ์ว่าตลาดโลกสำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะมีอุปทานล้นตลาดไปจนถึงปี 2028 นั่นหมายถึงราคาจะดิ่งลงยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้อีก
Daan Walter ผู้เชี่ยวชาญในวงการและผู้เขียนรายงานของ RMI บอกว่าราคา 35 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่ดู make sense แม้จะเป็นการมองโลกในแง่ดีสำหรับราคาเซลล์ในปี 2030
1
นั่นทำให้ราคาชุดแบตเตอรี่ครบชุดจะอยู่ที่หรือต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับชุดแบตขนาดยักษ์ 100 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ค่าเปลี่ยนอาจอยู่ที่ 4,500-5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 150,000 – 167,000 บาท) หรือ 3,375 ดอลลาร์ (ประมาณ 113,000 บาท) สำหรับชุดแบตมาตรฐาน 75 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
1
ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2030 ผู้บริโภคจะสามารถชดเชยค่าเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่ได้ด้วยการขายแบตเตอรี่เก่าในตลาดมือสองที่จะมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
1
ในปัจจุบัน เวลาที่คนขับรถ EV ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ (ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก) ศูนย์บริการมักจะยึดชุดแบตเตอรี่เก่าไว้เลย พวกเขาจะเอาไปปรับปรุงและขายต่อ หรือขายให้บริษัทที่นำแบตเตอรี่เก่าไปใช้ซ้ำสำหรับเก็บพลังงานหรือเป็นแหล่งพลังงานสำรอง
แต่ด้วยจำนวนแบตเตอรี่รถ EV ที่เก่าขึ้นบวกกับตลาดแบตมือสองที่กำลังบูม นั่นหมายความว่าภายในปี 2030 ลูกค้าจะสามารถต่อรองขายชุดแบตเตอรี่ของตัวเองได้ ซึ่งช่วยลดราคาแบตใหม่ลงได้ถึง 10-20 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทเคมี, การจัดวาง และคุณภาพ
สรุปง่าย ๆ คือ: รถ EV ที่อายุมากกว่า 10 ปีจะไม่กลายเป็นเศษเหล็กไร้ค่าอีกต่อไป ใครที่อยากได้รถ EV แต่ยังไม่มีเงินมากพอ จะสามารถซื้อรถ EV ราคาไม่แพงและเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่ได้ด้วยเงินแค่ไม่กี่พันดอลลาร์เท่านั้น
ถ้าเปรียบเทียบราคาแบตเตอรี่ลิเธียมที่ดิ่งลงกับราคาน้ำมันและก๊าซในตลาดสหรัฐฯ ที่คงที่ คุณจะเข้าใจว่าทำไมรถ EV จะมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ
ราคาชุดแบตเตอรี่กำลังร่วงลงด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น โดยแบ่งได้เป็นสามส่วนหลักตามที่ RMI อธิบาย:
  • 1.
    เคมีภัณฑ์ที่ถูกลง เช่น LFP
  • 2.
    ชุดแบตเตอรี่ที่มีความหนาแน่นพลังงานสูงขึ้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพคุ้มค่ามากขึ้น
  • 3.
    การรีไซเคิลและการนำวัสดุที่ขุดมาใช้ซ้ำ ซึ่งประหยัดกว่าการขุดแร่ใหม่อย่างเทียบไม่ติด
1
รายงานของ Goldman ยังเสริมอีกว่าราคาจะดิ่งลงอย่างต่อเนื่องเพราะ:
“การลดลงของราคาโลหะที่ใช้ในแบตเตอรี่ ซึ่งรวมถึงลิเธียมและโคบอลต์ โดยเกือบ 60% ของต้นทุนแบตเตอรี่มาจากโลหะ ประมาณ 40% ของการลดลงมาจากต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต่ำลง”
1
เมื่อเรามองไปถึงปลายทศวรรษนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่รถ EV ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะหมดระยะประกัน การเปลี่ยนแบตเตอรี่ไม่ควรจะทำให้เจ้าของรถต้องสะพรึงกลัวอีกต่อไป
ความจริงคือ ไม่เพียงแต่แบตเตอรี่จะทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าที่คนกลุ่ม anti EV มักจะมโนกันไว้ แต่ยังจะมีราคาถูกในการเปลี่ยน และสามารถนำแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพเล็กน้อยไปใช้งานในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีกด้วย
สำหรับคนไทยที่กำลังมองหารถ EV ราคาที่ลดลงของแบตเตอรี่นี้เป็นข่าวดี เพราะหมายความว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานของรถ EV จะถูกกว่ารถน้ำมันอย่างแน่นอน
ตลาดรถ EV มือสองก็จะมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะความกังวลเรื่องค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับคนที่กำลังมองหารถ EV ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถมือสอง เพราะอย่างที่บอกไป ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงจะทำให้ต้นทุนตลอดอายุการใช้งานของรถ EV คุ้มค่ากว่าที่เคยเป็นมา
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถ EV อยู่แล้ว หรือกำลังจะเป็น หรือแม้แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลนี้ล้วนเป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจในอนาคต การลดลงของราคาแบตเตอรี่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง
1
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา