เรื่องราวเริ่มต้นในศตวรรษที่ 20 เมื่อกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม (MITI) ของญี่ปุ่นพยายามจะปลุกปั้นอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ของตัวเอง โดยมองว่า IBM เป็นเหมือน “ปีศาจร้าย”
IBM เริ่มบุกญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1925 และตั้ง IBM Japan ในปี 1937 แม้จะมีอุปสรรคช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พวกเขาก็กลับมาตั้งหลักได้ในปี 1949 ก่อนที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะออกกฎบังคับให้บริษัทคอมพิวเตอร์ต่างชาติต้องร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น
แต่ IBM ไม่ยอมทำตาม พวกเขายืนกรานถือหุ้น IBM Japan 100% ซึ่งทำให้เกิดการทะเลาะกับ MITI บ่อยครั้ง แต่ด้วยความเจ๋งของเทคโนโลยี IBM ลูกค้าญี่ปุ่นก็ยังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาอยู่ดี
น่าแปลกที่โครงการนี้โฟกัสแต่ฮาร์ดแวร์ มองข้ามความสำคัญของซอฟต์แวร์ไปเลย MITI จึงสนับสนุนให้ตั้ง Japan Software Company ในปี 1966 เป็นการร่วมทุนระหว่าง Hitachi, NEC และ Fujitsu
Japan Software Company สุดท้ายก็ล้มเหลว พนักงานสูญเสียความเชื่อมั่น และบริษัทต้องปิดตัวลงในปี 1972 หลังจากเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหมด นี่เป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ครั้งแรกของญี่ปุ่นในวงการซอฟต์แวร์
แล้วผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ญี่ปุ่นใช้ซอฟต์แวร์อะไร? พวกเขาก็ใช้ของ IBM นั่นแหละ แต่ด้วยวิธีที่แสบสัน
1
ในปี 1969 IBM ถูกบังคับให้แยกขายซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ออกจากกัน ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นฉวยโอกาสนี้ทำวิศวกรรมย้อนกลับซอฟต์แวร์ของ IBM โดยตั้งบริษัทย่อยด้านซอฟต์แวร์ขึ้นมา
Fujitsu เริ่มขายเมนเฟรมที่ “ใช้งานร่วมกับ IBM ได้” ในปี 1971 โดยทำการตลาดว่ามันเร็วพอๆ กับ IBM แต่ราคาถูกกว่า วิธีนี้ช่วยล็อกลูกค้าไว้และคิดราคาได้สูงขึ้น บริษัทคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นจึงกลายเป็น IBM ขนาดย่อม
แต่มีปัญหาก็คือ นี่มันเป็นการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและผิดกฎหมาย! แม้ IBM จะปล่อยผ่านไปกว่าทศวรรษ แต่สุดท้ายในปี 1982 พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับบริษัทญี่ปุ่นด้วยข้อกล่าวหานี้
เรื่องบานปลายกลายเป็นคดีระดับชาติ รัฐบาลสหรัฐฯ จับกุมพนักงานบริษัทญี่ปุ่นถึง 18 คนในข้อหาขโมยความลับทางการค้าจาก IBM เกิดเป็น “คดีสอดแนม IBM” ที่สร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับประเทศทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก
แม้จะถกเถียงกันดุเดือด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นลอกงาน IBM จริงๆ สุดท้าย Fujitsu ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่และค่าลิขสิทธิ์รายปีสูงถึง 60 ล้านดอลลาร์ต่อปีให้ IBM
ที่แย่ไปกว่านั้น ในช่วงเดียวกัน IBM, Microsoft และ Intel ก็สามารถทลายการผูกขาดตลาด PC ของ NEC ได้ในที่สุด เมื่อ DOS เวอร์ชันใหม่รองรับภาษาญี่ปุ่น ทำให้ซอฟต์แวร์ต่างชาติบุกตลาดญี่ปุ่นได้