26 ก.พ. เวลา 02:43 • ธุรกิจ

ขายของออนไลน์แพลตฟอร์มไหนดี? Shopify vs WooCommerce vs Lazada

การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับ SME
การขายของออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกิจสำหรับ SME ในปัจจุบัน เจ้าของธุรกิจจำนวนมากเริ่มต้นจากการขายผ่าน Facebook Page หรือ Instagram แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น พวกเขาต้องการแพลตฟอร์มที่ช่วย บริหารสต๊อก ออเดอร์ การชำระเงิน และขยายตลาดได้ง่ายขึ้น
แพลตฟอร์มยอดนิยมที่ SME ใช้มากที่สุด ได้แก่ Shopify, WooCommerce, และ Lazada Seller Center ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน
Shopify vs. WooCommerce vs. Lazada Seller Center: เลือกแพลตฟอร์มไหนให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
แนะนำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยม
การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Shopify, WooCommerce หรือ Lazada Seller Center แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ธุรกิจควรเลือกใช้ระบบที่สอดคล้องกับเป้าหมายและรูปแบบการดำเนินงานของตนเอง
ประเภทของแพลตฟอร์ม
Shopify เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำเร็จรูปที่ออกแบบมาให้ผู้ขายสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านไอทีมากนัก ในขณะที่ WooCommerce เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ของตนเองได้ตามต้องการ ส่วน Lazada Seller Center เป็นมาร์เก็ตเพลสที่เปิดโอกาสให้ผู้ขายนำสินค้าเข้ามาวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มของ Lazada ซึ่งมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และสามารถเริ่มขายสินค้าได้ทันที
ความง่ายในการใช้งาน
Shopify มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านไอที ส่วน WooCommerce ต้องการการตั้งค่าและดูแลเว็บไซต์ด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีความซับซ้อนมากขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับระบบ WordPress ด้าน Lazada Seller Center มีขั้นตอนการสมัครที่ง่ายและสามารถเริ่มขายสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์
ค่าใช้จ่าย
Shopify มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน และยังมีค่าธรรมเนียมการชำระเงินเพิ่มเติม WooCommerce แม้ว่าจะสามารถใช้งานได้ฟรี แต่ผู้ใช้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อ โฮสติ้ง ธีม และปลั๊กอินเสริม เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ส่วน Lazada Seller Center สามารถใช้งานได้ฟรี แต่มีค่าธรรมเนียมการขายที่หักจากยอดขาย
การออกแบบเว็บไซต์
Shopify มาพร้อมกับธีมสำเร็จรูปที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย WooCommerce ให้ความยืดหยุ่นสูงสุด เนื่องจากสามารถเลือกธีมและปลั๊กอินเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ ส่วน Lazada Seller Center มี ข้อจำกัดด้านการออกแบบ เนื่องจากร้านค้าจะต้องใช้ เทมเพลตมาตรฐานของ Lazada ทำให้ร้านค้ามีรูปแบบคล้ายกัน
การรองรับช่องทางชำระเงิน
Shopify รองรับการชำระเงินผ่าน บัตรเครดิต, PayPal และช่องทางอื่นๆ โดยมีระบบ Payment Gateway ในตัว WooCommerce ต้องอาศัยการติดตั้งปลั๊กอินเสริมเพื่อเชื่อมต่อกับ Payment Gateway ต่างๆ เช่น Stripe หรือ Omise สำหรับ Lazada Seller Center ระบบการชำระเงินถูกจำกัดอยู่ที่ Lazada Wallet และการเก็บเงินปลายทาง (Cash on Delivery - COD)
การบริหารสต๊อกสินค้า
Shopify มี ระบบจัดการสต๊อกอัตโนมัติ ในตัว WooCommerce ต้องใช้ ปลั๊กอินเสริม ในการเพิ่มฟังก์ชันการจัดการสต๊อกสินค้า ส่วน Lazada Seller Center ใช้ระบบสต๊อกที่อยู่ภายใต้การบริหารของ Lazada ทำให้ผู้ขายสามารถใช้ระบบของแพลตฟอร์มในการตรวจสอบและอัปเดตสินค้าคงคลังได้อย่างสะดวก
แพลตฟอร์มไหนเหมาะกับ SME ของคุณ?
Shopify เหมาะสำหรับ SME ที่ต้องการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบสำเร็จรูป พร้อมระบบชำระเงินและจัดการออเดอร์ที่ง่าย
WooCommerce เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ความยืดหยุ่น และสามารถดูแลเว็บไซต์ด้วยตัวเอง มีค่าใช้จ่ายต่ำ แต่ต้องตั้งค่าเอง
Lazada Seller Center เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการ เข้าถึงลูกค้าจำนวนมากโดยไม่ต้องสร้างเว็บไซต์เอง แต่ต้องแข่งขันสูงและมีค่าธรรมเนียม
การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ งบประมาณ และเป้าหมายการเติบโต
โฆษณา