8 ชั่วโมงที่แล้ว • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จะนำพาจีนกลับมาผงาดในวงการชิปโลกได้หรือไม่?

ต้องบอกว่าวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กำลังเป็นสาขาใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งจีนพยายามผลิตบุคลากรในสาขานี้มาค่อนข้างนานแล้ว เพราะนี่คือจุดอ่อนสำคัญของพวกเขา โดยเฉพาะหลังจากเกิดสงครามการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในสมัยประธานาธิบดี Donald Trump
การที่จีนถูกตัดห่วงโซ่อุปทานและถูกจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรเทคโนโลยี ส่งผลให้พวกเขาเสียผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะในเรื่องของชิป ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่
ก่อนหน้านี้ จีนไม่คิดว่าสงครามด้านเทคโนโลยีจะบานปลายถึงขนาดนี้ หากพวกเขารู้ล่วงหน้า คงมีการเตรียมตัวไว้แล้ว การสร้างบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พวกเขากำลังขาดแคนอยู่คงไม่ใช่เรื่องยาก
ความจริงแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้ล้ำเลิศจนไม่มีใครทำได้ ยกตัวอย่างเช่น ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องสร้างชิปชั้นนำของโลก ที่เริ่มต้นเป็นเพียงหน่วยงานย่อยของบริษัท Philips จากเนเธอร์แลนด์
แต่สุดท้าย การเมืองและการตัดสินใจของสหรัฐฯ เป็นตัวกำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นฐานผลิต และใครจะเป็นพันธมิตรในเรื่องของเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้
ในอดีต เทคโนโลยีชิปเกี่ยวข้องกับเรื่องทหารเป็นหลัก ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงวงการธุรกิจเหมือนปัจจุบัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างต้องใช้ชิปในการประมวลผล โดยเฉพาะ AI ที่กระหายพลังงานมหาศาล จำเป็นต้องใช้ชิปขั้นสูงแทบทั้งสิ้น
เทรนด์การผลิตบุคลากรของจีนในยุคก่อนหน้านี้ มักโฟกัสไปที่เทคโนโลยีด้าน Front End เสียส่วนใหญ่ เช่น เทคโนโลยีแอป เทคโนโลยีเว็บ หรือเทคโนโลยี AI ซึ่งพวกเขามีความเชี่ยวชาญค่อนข้างสูง
บริษัทอย่าง Baidu, Tencent หรือ ByteDance มีความสามารถไม่แพ้บริษัทเทคจาก Silicon Valley เลยทีเดียว ความจริงแล้ว จีนกับอเมริกาแทบไม่แตกต่างกันในเรื่องนี้
วิศวกรส่วนใหญ่เลือกไปอยู่กับฝั่งที่พัฒนาเทคโนโลยีระดับเลเยอร์บน ๆ ซึ่งเป็นภาพเดียวกันที่เกิดขึ้นทั่วโลก บริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งใน Silicon Valley และจีน ส่วนใหญ่รับบุคลากรจากไม่กี่สาขา เช่น Computer Science หรือ Computer Engineering
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของรายได้ บัณฑิตจบใหม่ด้านคอมพิวเตอร์มักฝันว่าจะได้ทำงานกับบริษัทระดับท็อป อย่าง Microsoft, Google หรือ Facebook ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำเทคโนโลยีในระดับ Front End
บริษัทที่เกี่ยวข้องกับชิปในสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเป้าหมายแรกๆ ของพวกเขา ยกเว้นคนที่จบมาด้านนั้นโดยตรง คนส่วนใหญ่ที่ใฝ่ฝันอยากมีอาชีพด้านคอมพิวเตอร์ มักเริ่มต้นจากการเล่นเกมและอยากเห็นผลลัพธ์ที่สร้างขึ้นได้ทันที
งานในเรื่องของเลเยอร์บนจึงได้รับความนิยมมากกว่า เพราะสามารถสร้างและเห็นผลออกมาได้ทันที เช่น การสร้างแอป แพลตฟอร์ม หรือเว็บไซต์ ต่างจากงานด้านเลเยอร์ล่าง เช่น การสร้างชิป หรือสายที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ หรือเน็ตเวิร์ก ที่ได้รับความนิยมน้อยกว่า
วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์สำคัญอย่างไร? มันคือการสร้างบุคลากรในสาขานั้นๆ โดยตรง ดังนั้นจีนจึงต้องสร้างแรงจูงใจให้คนเข้ามาเรียนในสาขานี้มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาและสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง
การเปิดสาขาที่เรียนเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์โดยตรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปเรียนเรื่องอื่นๆ แล้วมาโฟกัสเรื่องเซมิคอนดักเตอร์เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการต่อสู้ โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีชิปจากจีนในอนาคต
ความจริงแล้ว คนจีนเรียนเก่งด้านนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟิสิกส์ เคมี หรือสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STEM) จะเห็นได้ว่าในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการต่างๆ มีชาวจีนได้รับรางวัลมากมาย
หากนโยบายของจีนสามารถผลักดันให้คนที่มีความสามารถหันมาเรียนในสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้เพิ่มขึ้น ในอนาคตจีนอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นแนวหน้าในการผลิตชิปก็เป็นได้
ปัจจุบัน แม้จีนจะไม่ได้มีเทคโนโลยีชั้นสูงมาก แต่พวกเขาก็พยายามสร้างบริษัทอย่าง SMIC ซึ่งตอนนี้อาจจะดูล้าหลัง แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าจีนมีแรงงานในการผลิตชิป Logic ที่ล้ำยุคและสามารถแข่งขันได้
ชิปที่ทันสมัยที่สุดที่ SMIC เคยผลิตเป็นรุ่น 14 นาโนเมตร แต่เนื่องจากพวกเขาถูกสหรัฐฯ แบนในช่วงปลายปี 2020 ในการซื้อเครื่อง EUV จาก ASML ทำให้ตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะสามารถผลิตชิปขั้นสูงกว่านี้ได้
แต่ในปี 2022 เกิดข่าวที่น่าสนใจขึ้น เมื่อ SMIC สามารถผลิตชิปขนาด 7 นาโนเมตรได้ โดยเป็นการปรับแต่งเครื่อง DUV ที่เป็นเครื่องรุ่นเก่ากว่า ซึ่งพวกเขายังสามารถซื้อได้จาก ASML
มีความเป็นไปได้สูงที่ Huawei จะซื้อเทคโนโลยีและอุปกรณ์จาก SMIC เพื่อผลิตชิป 7 นาโนเมตรในมือถือเรือธงที่เป็นข่าวดังอย่าง Mate 60 Pro ซึ่งเป็นการขีดชะตาที่สำคัญของวงการเทคโนโลยีจีน
จีนยังลงทุนมหาศาลในวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นซิลิกอนคาร์ไบด์ หรือแกลเลียมไนไตรด์ ซึ่งแม้อาจไม่สามารถทดแทนซิลิกอนบริสุทธิ์ในชิปส่วนใหญ่ได้ แต่ก็จะมีบทบาทในอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ระบบในยานยนต์ไฟฟ้า
ที่สำคัญคือเรื่องเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ที่อาจทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะได้ในสงครามราคา สิ่งที่น่ากังวลสำหรับประเทศอื่นๆ คือเงินอุดหนุนจำนวนมหาศาลของจีน ที่ทำให้จีนสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในหลายส่วนของห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิปได้
โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ไม่ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูง จีนดูมีแนวโน้มจะมีบทบาทสำคัญในการผลิตชิปโลจิกที่อาจยังไม่ล้ำสมัยมากนัก นอกจากนี้ พวกเขายังทุ่มเงินไปกับวัสดุที่จำเป็นในการพัฒนาชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
การที่จีนเริ่มโฟกัสกลุ่มแรงงานยุคใหม่ เช่น วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้พวกเขามีกลุ่มแรงงานที่มีฐานกว้างขึ้น ต้องบอกว่าตอนนี้เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การทำกำไรและการส่งออกในระดับนานาชาติ
สิ่งนี้แทบไม่สำคัญกับพวกเขาเลย แต่พวกเขากำลังสร้างชิปของประเทศด้วยตนเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะบรรลุความฝันอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้หรือไม่ในธุรกิจขั้นสูงอย่างชิป ก็ต้องรอดูว่านโยบายการผลิตบุคลากรของพวกเขาจะประสบความสำเร็จแค่ไหน
อาจจะใช้เวลา 5-10 ปี จึงจะเห็นผลชัดเจนว่าพวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาสู่ความยิ่งใหญ่ในวงการชิปโลกได้หรือไม่ แต่ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่และการสนับสนุนจากรัฐบาล เส้นทางนี้อาจจะไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับจีนก็เป็นได้
ท้ายที่สุด การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกข้อจำกัดทางเทคโนโลยีที่จีนกำลังเผชิญอยู่ และอาจเป็นพลังถีบส่งให้พวกเขาก้าวข้ามสหรัฐฯ ในสงครามเทคโนโลยีที่กำลังดำเนินอยู่นี้ได้ในอนาคต
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา