26 ก.พ. เวลา 12:36 • การตลาด

สรุป 4 เทรนด์การตลาดปีนี้ จาก Mindshare เทรนด์ใช้ของ ‘Dupe’ กำลังมาแรง

- Dupe คือเทรนด์ที่ลูกค้าซื้อสินค้าทางเลือกจากแบรนด์เล็กแทนแบรนด์ใหญ่ ๆ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ต่างก็มีคุณภาพใกล้เคียงกับแบรนด์ใหญ่ แต่ราคาถูกกว่าค่อนข้างมาก
ซึ่ง Dupe คือหนึ่งในเทรนด์การตลาดที่ มายด์แชร์ (Mindshare) เอเจนซีด้านการตลาดและการสื่อสาร ในเครือกรุ๊ปเอ็ม มองว่ากำลังมาแรงในปีนี้
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายเทรนด์การตลาดที่กำลังมาแรง รวมถึงอินไซต์พฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังจะเปลี่ยนไป
แล้วเทรนด์การตลาดในปี 2568 ยังมีอะไรอีกบ้าง ? MarketThink สรุปมาให้อ่านกัน
1. ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากกว่าที่เคย (Volume Up Value)
นั่นก็คือ เทรนด์ Dupe ซึ่งสาเหตุที่สินค้าทางเลือกจากแบรนด์เล็กมีราคาถูกกว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ ก็เนื่องจากมีการลดต้นทุนการทำ Branding และการตลาด ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ลูกค้าก็รู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น
โดยผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้รู้สึกว่าการใช้ของราคาถูกเป็นเรื่องน่าอายอีกต่อไป แต่รู้สึกภูมิใจและต้องการบอกต่อคนอื่นว่า ตัวเองเลือกซื้อของอย่างฉลาด
เพราะคุณภาพสินค้าใกล้เคียงสินค้าแบรนด์เนม แต่ซื้อได้ในราคาเหมาะสมมากขึ้น
ตัวอย่างสินค้าในเทรนด์นี้ เช่น สินค้าแฟชันและลักชัวรีต่าง ๆ อย่าง น้ำหอม กระเป๋า ไปจนถึงไดร์เป่าผมพรีเมียมอย่าง Dyson และเสื้อผ้าแบรนด์หรูต่าง ๆ
ซึ่งเทรนด์นี้ก็ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น
 
- การซื้อสินค้า DIY แล้วนำมาประกอบเอง แต่ได้ราคาถูกลงอย่างมาก
- การติดตามเพจหรือคอนเทนต์ ที่ชี้ช่องโปรโมชัน ส่วนลดต่าง ๆ
- การรอโค้ดส่วนลดจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ หรือรอซื้อสินค้าเมื่อได้รับแต้มสะสมจากการใช้บัตรเครดิต
- Gen Z กว่า 73% ใช้เวลาไปกับการมองหาส่วนลดที่ดีที่สุด
สิ่งที่แบรนด์ควรทำ ได้แก่
- หาจุดแข็งให้กับแบรนด์และยึดมั่นในสิ่งนั้น เพื่อไม่ต้องลงมาแข่งขันเรื่องราคากับแบรนด์อื่น เช่น สร้างประสบการณ์ ความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคในกระบวนการหลังการซื้อ
- แบรนด์ต้องโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เช่น ถ้าแบรนด์โปรโมตโคดส่วนลดอย่างใหญ่โต แต่มีโคดให้แค่จำนวนหยิบมือเดียว ก็อาจทำให้ลูกค้าเกิดข้อกังขาได้
- สร้างความคุ้มค่าในทุก Touchpoint ตั้งแต่คุณภาพสินค้า ราคาที่เหมาะสม ไปจนถึงประสบการณ์การซื้อที่ราบรื่น
2. AI ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยี แต่พลิกโฉมพฤติกรรมผู้บริโภค (AI and Then What?)
ในปี 2025 AI ได้พัฒนาจากสิ่งแปลกใหม่กลายเป็น “ผู้ช่วย” ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น การสะกดคำ การตรวจภาษา การสรุปเอกสาร และการร่างอีเมล
นอกจากนี้ AI ยังเข้ามามีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากขึ้น
โดย 74% ของผู้บริโภค Gen Z ใช้ TikTok ในการค้นหาข้อมูล และ 51% ชื่นชอบที่จะใช้การค้นหาผ่าน TikTok Search มากกว่า Google อีกด้วย
และไม่ใช่แค่ Gen Z เท่านั้น แต่ Gen อื่น ๆ ก็มีการใช้ TikTok ในการค้นหาเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
โดยหมวดหมู่ข้อมูลที่ Gen Z นิยมหาจากการเซิร์ชผ่าน TikTok ก็คือ
- แฟชั่นและการสร้างแรงบันดาลใจ
- การสอนประกอบสินค้า DIY
- หารายละเอียดข้อมูลสินค้า
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ต้องทำความเข้าใจว่า AI ยังไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง และไม่สามารถสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้บริโภคได้มากเท่าที่ควร
ซึ่งสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจริง ๆ ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่ความสามารถสุดว้าวของ AI อีกต่อไป แต่ผู้บริโภคต้องการสิ่งที่เรียล ๆ เป็นความจริง ใช้งานได้จริง และจับต้องได้มากขึ้น
ดังนั้น แบรนด์จึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์จริง ๆ กับลูกค้า อย่าง การสร้างอารมณ์ขัน (Sense of Humor) แบบเรียล ๆ และทำให้คนสนุกสนาน หัวเราะได้
หรือการใช้ทักษะ Storytelling ประกอบการสร้างคอนเทนต์ ที่เล่าเรื่องราวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ และสื่ออารมณ์ได้ดี เหมือนกับการทำโฆษณาของแบรนด์ไทยต่าง ๆ ในอดีต
3. การตลาดที่เน้นตัวตนของผู้บริโภค สร้าง Connection ที่แข็งแกร่ง (COM 'ME' NITY)
เทรนด์ “This is ME" เช่น ฉันเป็นอินโทรเวิร์ต ฉันเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต ฉันเป็น LGBTQ+ หรือคอนเทนต์บอกว่าตัวเองเป็น MBTI อะไร ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในรูปแบบคอนเทนต์ที่มาแรงที่สุดในปี 2024
1
สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเน้นตัวตนของผู้บริโภค รวมไปถึงความเชื่อมโยงทางอารมณ์ร่วมกันระหว่างครีเอเตอร์กับผู้ชม ว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวกันและมีลักษณะร่วมบางอย่างคล้ายกัน
นอกจากนี้ เทรนด์ Micro-Identity หรือวัฒนธรรมในท้องถิ่น ได้มีการพัฒนาจนเกิดเอกลักษณ์จากกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น และมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในวงกว้าง เช่น
- หมอลำ หรือดนตรีบางประเภท
- ประเภทอาหาร ที่ไม่ได้แบ่งแค่เหนือ ใต้ กลาง อีสาน อีกต่อไป แต่ออกเป็นประเภทย่อย ๆ ลงไปได้อีก เช่น อาหารอีสานอุบล อาหารใต้สไตล์ตรัง
ซึ่งคนและวัฒนธรรมกลุ่มเล็ก ๆ นี้ ก็สามารถสร้างไวรัล สร้าง Impact ต่อสังคมใหญ่ได้เช่นกัน ทำให้คอนเทนต์และการตลาดประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นตามไปด้วย
1
ดังนั้น การสร้างความเชื่อมั่น กับผู้บริโภคผ่านทาง KOL แบรนด์จะต้องเข้าใจและเข้าถึง Micro หรือ Niche Community มากขึ้น
และไม่จำเป็นต้องเลือกคนที่ Mass แต่ควรจะเลือกบุคคลที่มี Impact ที่สามารถสร้างอิทธิพลให้คนสนใจ
4. คอนเทนต์สั้น กระชับ โดนใจ ครองโลกโซเชียลมีเดีย (Short n Bitter)
ปัจจุบัน ผู้บริโภคมีสมาธิสั้นลงและมีเวลาจำกัดในการรับชมคอนเทนต์
แบรนด์จึงจำเป็นต้องสร้างคอนเทนต์ที่สั้น กระชับ โดนใจ และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังนิยมเร่งความเร็วในการรับชมคอนเทนต์ ทำให้มีการสร้างคอนเทนต์ที่มาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เช่น การนำเพลงมาเพิ่มสปีด X2 แล้วนำเพลงนั้นมาประกอบคอนเทนต์
หรือการสร้างโฆษณาที่มีความยาวแค่ 6 วินาที ที่หลาย ๆ แบรนด์ชอบทำในอดีต แต่ตอนนี้หลายแบรนด์ตระหนักแล้วว่า ความยาวคอนเทนต์ไม่ใช่ทุกอย่าง
1
เพราะด้วยระยะเวลาเพียง 6 วินาที ถึงแม้จะทำให้คอนเทนต์มีประสิทธิภาพในสายตาของแพลตฟอร์ม หรืออัลกอริทึม
แต่ในมุมของเส้นทางการเป็นลูกค้าตามทฤษฎี Marketing Funnel สร้างได้เพียงการเตือนความจำ (Recall) ลูกค้าเท่านั้น
แต่ไม่สามารถสร้างให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือ Consideration ได้เลย เพราะเราไม่สามารถสื่อสารไปถึงผู้บริโภคได้มากเพียงพอ
ดังนั้น ความเร็วอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ต้องคำนึงถึง
เพราะผู้บริโภคเองก็ยังเลือกรับชมคอนเทนต์ตามที่ตัวเองสนใจ ไม่ว่าคอนเทนต์นั้นจะยาวแค่ไหนก็ตาม
ดังนั้น แบรนด์จึงควรคิดคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์และสร้าง Storytelling ที่น่าสนใจ มากกว่าการให้ความสำคัญกับความยาวของคอนเทนต์เพียงอย่างเดียว
  • 1.
    ข้อมูลจาก Mindshare
โฆษณา