Google Maps ทำเงินอย่างไร? เมื่อแผนที่ไม่ได้มีไว้แค่นำทาง แต่สร้างกำไรมหาศาล
ใครจะคิดว่าแอปนำทางที่เราใช้กันทุกวันนี้มีจุดเริ่มต้นที่เจ๋งมาก ๆ มันมาจากไอเดียของคนแค่สี่คนในออสเตรเลีย Google Maps ที่เราคุ้นเคยไม่ได้เกิดจากห้องแล็บของ Google แต่มาจากสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นในซิดนีย์
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2003 เมื่อ Lars Rasmussen, Jens Rasmussen, Noel Gordon และ Stephen Ma ก่อตั้งบริษัทชื่อ Where 2 Technologies ด้วยแนวคิดเรียบง่าย คือสร้างโปรแกรมแผนที่สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แต่ระหว่างทางพวกเขาเจอปัญหามากมาย จนต้องหาพันธมิตรที่มีเงินทุนมากกว่ามาช่วยเหลือ
3
โชคเข้าข้างเมื่อพวกเขาได้พบกับ Google ในปี 2004 ตอนแรก Google ไม่ได้สนใจซอฟต์แวร์แผนที่บนเดสก์ท็อปเท่าไหร่ แต่พอทีมผู้ก่อตั้งเสนอไอเดียการแปลงแอปให้ใช้บนเว็บแทน ทาง Google ถึงกับตาลุกวาว และตัดสินใจลงทุนแทบจะทันที
1
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน Google ยังซื้อกิจการอีกสองแห่ง คือ Keyhole บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมด้วยมูลค่า 35 ล้านดอลลาร์ และที่โหดสุดคือ ZipDash สตาร์ทอัพที่ทำเทคโนโลยีติดตามการจราจรแบบเรียลไทม์ ซึ่ง Google ซื้อมาได้ในราคาแค่ 2 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
1
Google Maps เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2005 ได้รับความสนใจอย่างมากช่วงแรก แต่กระแสค่อยๆ ลดไป เพราะตอนนั้น Yahoo Maps และ MapQuest เป็นพี่ใหญ่ในตลาดอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนมาใช้ Google Maps
1
ทีมผู้บริหาร Google มองออกว่านี่เป็นจุดที่ต้องล้มเลิกทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ พวกเขาตัดสินใจเขียนโปรแกรมใหม่ทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาความเร็วและประสบการณ์ผู้ใช้ ทีมวิศวกรฝ่าฝันต่อสู้กว่าหนึ่งปีในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ โดยใช้เทคโนโลยี AJAX ที่ตอนนั้นถือว่าล้ำมาก
ช่องทางที่สองคือรายได้จาก APIs ที่ให้นักพัฒนาและธุรกิจนำฟีเจอร์ของ Google Maps ไปใช้ ตั้งแต่แสดงแผนที่บนเว็บไซต์ร้านอาหาร ไปจนถึง Uber, Airbnb และ DoorDash ที่ใช้ Google Maps เป็นหัวใจสำคัญในบริการของพวกเขา
1
แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ API ยอดฮิตที่สุดกลับไม่ใช่แผนที่ แต่เป็น Google Places API ที่ช่วยกรอกที่อยู่อัตโนมัติตอนช้อปปิ้งออนไลน์ ค่าบริการแค่ 3 เซนต์ต่อครั้ง แต่ด้วยปริมาณการใช้งานมหาศาล ทำให้สร้างรายได้กว่าพันล้านดอลลาร์ต่อปี
ช่องทางที่สามคือโซลูชันเฉพาะทางสำหรับองค์กรใหญ่ๆ ที่ต้องการใช้ความสามารถของ Google Maps ในระดับ advance เช่น บริษัทขนส่งที่ต้องวิเคราะห์เส้นทางแบบเรียลไทม์ หรือบริษัทอสังหาฯ ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพื้นที่
การให้บริการระดับองค์กรมีมูลค่าสัญญาตั้งแต่หลักแสนถึงหลายล้านดอลลาร์ต่อปี Google มีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและพัฒนาโซลูชันเฉพาะทาง ทำให้รายได้พุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่
แม้จะรุ่งโรจน์แค่ไหน Google Maps ก็เจอความท้าทายมากมาย ปัญหาแรกคือความเป็นส่วนตัว การที่สามารถติดตามตำแหน่งและพฤติกรรมการเดินทางได้อย่างละเอียด ทำให้หลายคนกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีนัก
Google พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยระบบปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่ซับซ้อน ทั้งการเข้ารหัสข้อมูล การให้ผู้ใช้ควบคุมประวัติตำแหน่ง และการลบข้อมูลอัตโนมัติ พร้อมปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในแต่ละประเทศ
ความท้าทายที่สองคือการแข่งขันที่ดุเดือด แม้ Google Maps จะครองตลาดอยู่ แต่ก็มีคู่แข่งอย่าง Apple Maps, Here Maps และ OpenStreetMap ที่พัฒนาบริการน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ Apple Maps ที่ได้เปรียบจากการเป็นแอปพื้นฐานบน iPhone
เพื่อรักษาบัลลังก์ Google จึงลงทุนไม่ยั้งในเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง AR (Augmented Reality) สำหรับนำทาง ระบบจำลองสภาพแวดล้อม 3 มิติสมจริง และ AI วิเคราะห์การจราจร เรียกได้ว่าจัดเต็มไม่มีอั้น
3
มูลค่าที่แท้จริงของ Google Maps อาจมากกว่าตัวเลขรายได้หลายเท่า การครอบครองฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่แม่นยำที่สุดในโลก ทำให้ Google ได้เปรียบในการพัฒนาเทคโนโลยีอนาคต เช่น รถยนต์ไร้คนขับ ระบบขนส่งอัจฉริยะ หรือการวางแผนพัฒนาเมือง