27 ก.พ. เวลา 07:27 • ความคิดเห็น

ชรากถา

ผมมาส่งลูกสาวคนเล็กเข้าเรียนที่เมลเบิร์นกับภรรยา รอบนี้พ่อแม่ผมก็มาส่งด้วย เมลเบิร์นเป็นเมืองที่สงบ ชิล มีเวลาว่างเยอะก็สังเกตโน่นนี่ไปตามเรื่อง
ไปเดินมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นวันปฐมนิเทศน์ก็ได้เห็นความหนุ่มสาว สดใส ตื่นเต้นที่พร้อมจะเผชิญโลกใบใหญ่ ตัวผมในวัยห้าสิบกลางก็เหมือนมองย้อนไปในอดีตไกลๆ จำความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นได้บ้าง มีความฝัน มีความกังวลอะไรอยู่เยอะเต็มไปหมด
ในขณะเดียวกัน วันนี้ก็เป็นวันเกิดแม่ผมในวัยเจ็ดสิบหก พ่อก็แปดสิบ ทั้งคู่ยังเดินเหินได้คล่องแคล่ว อาจจะช้าลงกว่าเดิมบ้างและสุขภาพยังแข็งแรง กิจกรรมที่เวลาคู่นี้ไปไหนก็คือการไปสถานที่เดิมที่เคยมาห้าปีก่อน สิบปีก่อน หรือบางเมืองคือสามสิบสี่สิบปีก่อนแล้วถ่ายรูปในมุมเดิม
ภาพที่ข้างหน้าเป็นพ่อแม่ผมเดินอยู่ และข้างหลังเป็นเด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่งเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกเหมือนกับตัวเองอยู่ตรงยอดเขาและกำลังเดินลงตามพ่อแม่ผม ส่วนเด็กๆ นั้นยังอยู่แค่ตีนเขาและกำลังจะปีนขึ้นมา ความรู้สึกที่ว่าทำให้นึกถึงเรื่องชรากถานี้ขึ้นมา
เคยมีน้องจบใหม่ที่เพิ่งทำงานมาถามผมด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า คนในวัยห้าสิบกลางอย่างผมนั้นเป็นอย่างไร ต่างกับน้องเขาที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาวยังไง ผมก็ตอบไปตามความรู้สึกว่า ชายวัยกลางคนอย่างผมเป็นวัยที่ลดความร้อนแรงลงไปมาก เวลามองไปก็ไม่ได้มองยาวนัก เป็นเวลาที่เดินผ่านยอดเขาของชีวิตและกำลังอยู่ในช่วงลงเขา การมองไปข้างหน้าก็มองในมุมของในการเตรียมตัวสำหรับการเลิกไขว่คว้า มองหาความสงบที่ต่างไปกับวัยหนุ่มที่มองเห็นอนาคตพร้อมที่จะทะยานหาความสำเร็จ
ภาพในอนาคตผมเป็นเรื่องอนาคตลูกเข้ามาแทน ไม่เหมือนตอนหนุ่มๆที่มีแต่เรื่องตัวเอง ร่างกายก็ไม่เหมือนเดิม แค่กินครึ่งเดียวของสมัยหนุ่มๆ ก็น้ำหนักขึ้นและมีปัญหากับระบบการย่อยได้ง่ายขึ้นมาก ความฝันอะไรก็เปลี่ยนไป ถามว่ามีความฝันอะไรก็นึกไม่ค่อยออก ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูจะเป็นความฝันอันดับแรกๆเอาด้วยซ้ำเพราะคนที่รู้จักรุ่นๆ เดียวกันก็มีป่วยหนัก มีเสียชีวิตไปจากโรคภัยบ้าง อุบัติเหตุบ้าง ความเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เป็นก็ชัดเจนกว่าสมัยหนุ่มๆ
น้องที่ฟังคำตอบก็ดูหน้าไม่ค่อยเข้าใจนัก
ผมเองก็มีคำถามต่อเหมือนกับคนที่แก่กว่า อยากรู้ว่าคนที่อายุเจ็ดแปดสิบแล้วนั้นเป็นอย่างไร เพราะว่ายังไงผมก็ยังเดินเหินคล่องแคล่ว วิ่งห้าหกโลได้อยู่ ร่างกายยังไม่ได้พังอะไร ยังมีห่วงเรื่องลูก ยังคิดว่าต้องเก็บสตางค์บริหารดีๆอยู่เพราะอาจจะต้องใช้ชีวิตยาวไปอีกสามสิบปีถ้าโชคดี เวลาเจอคนที่อายุระดับเจ็ดแปดสิบเขาก็มองว่าผมยังหนุ่มอยู่เลย
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชเคยตอบไว้ในคำถามคล้ายแบบนี้แต่ต่างกรรมต่างวาระในบทความชื่อ ชรากถา ว่า ความต่างหลักๆของคนหนุ่มกับคนแก่ก็คือคนหนุ่มนั้นไม่เคยแก่ แต่คนแก่นั้นเคยหนุ่มมาแล้ว
ตอนที่หม่อมคึกฤทธิ์ตอบคำถามนี้ ท่านมีอายุ 74 ปี ด้วยความสงสัยจากคนในวัยผมว่าเวลาสังขารไม่เอื้ออำนวยให้ทำหลายๆอย่างแล้ว หรือเวลาที่ใกล้ความตายมากๆแล้ว ความรู้สึก การมองโลกต่างไปหรือไม่
คนแก่อย่างหม่อมคึกฤทธิ์ในตอนนั้นบอกไว้ว่า " ผมอาจจะมีอะไรพิเศษอยู่บ้าง ตรงที่ผมไม่ติดใจความหนุ่ม เมื่อยังหนุ่มก็หนุ่มเต็มที่ แต่เมื่อความหนุ่มผ่านพ้นไปก็ไม่อาลัยเสียดาย ยอมรับความชราเต็มที่และแก่เต็มที่เช่นเดียวกับที่เคยหนุ่มเต็มที่
ถ้าแก่หัวจะหงอก ฟันจะหัก หน้าจะเหี่ยว ก็ไม่ปิดบัง
แข้งขาจะอ่อนลงไป ไม่กระฉับกระเฉง ก็เดินมันช้าๆ ใช้ไม้เท้าพยุงกายบ้าง อาศัยคนที่หนุ่มกว่าช่วยลากช่วยจูงบ้าง เห็นปี๊บก็หลีกเสีย ไม่เดินเข้าไปเตะมันให้หนวกหูชาวบ้าน ใครมาว่าแก่ แทนที่จะโกรธกลับอนุโมนทนาสาธุการว่าเขาพูดจริง
เมื่อแก่ให้เต็มที่ เหมือนกับหนุ่มให้เต็มที่อย่างนี้ ใจคอมันก็เบิกบานเหมือนกับยังหนุ่มเต็มที่ แต่ต่างกันว่าไม่เหนื่อยเท่าคนหนุ่ม
เพราะคนหนุ่มนั้นต้องคิดการณ์ไกล ต้องใช้ความคิดหนักและมากจึงเหนื่อย ส่วนคนแก่นั้นไม่ต้องคิดการณ์ไกลอะไรทั้งสิ้น คิดแต่การณ์ใกล้ๆจึงไม่เหนื่อย.."
ผมเพิ่งเจอคำตอบเดียวกันของฝรั่ง ในกรณีนี้มีหลายโพสต์อ้างว่าเป็นของ Meryl Streep ดาราผู้โด่งดังในวัยเจ็ดสิบห้าปี แต่ต่อให้ไม่ใช่เธอจริงๆ ถ้าเป็นของผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่งก็ยังน่าฟังน่าคิดตามอยู่ดี เธอให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไว้ว่า
“Aging is not for the weak. One day you wake up and realize that your youth is gone, but along with it, so go insecurity, haste, and the need to please….
You learn to walk more slowly, but with greater certainty. You say goodbye without fear, and you cherish those who stay. Aging means letting go, it means accepting, it means discovering that beauty was never in our skin…
but in the story we carry inside us”…
เป็นภาพของความสงบ ไม่ต้องคอยแคร์ใครอีกต่อไป ปล่อยวางโปร่งโล่งสบาย ดูจะเป็นความสุขที่มากับวัยชราได้เป็นอย่างดี…
วัยห้าสิบกลางอย่างผมที่กำลังจะเริ่มเดินลงเขา พออ่าน wisdom ของผู้อาวุโสรุ่นก่อนหน้า ที่เป็นเสมือนคู่มือการเดินลงเขาอย่างไรให้สนุก ทำให้รู้สึกว่าการเดินลงเขานี่ก็น่าสนใจไม่แพ้ตอนเดินขึ้นเขา แถมน่าจะเพลิดเพลินกว่าด้วยซ้ำเพราะไม่ต้องต้านแรงโน้มถ่วงตอนเดินขึ้น ดูจะเบาสบายที่ไม่ต้องแบกน้ำหนักความคาดหวัง ไม่ต้องคิดไกลเหมือนตอนหนุ่มๆ
แต่ก็ต้องเดินอย่างระมัดระวังเพราะซ่ามากๆ ไม่เข้าใจตัวเอง หลงไปกับเครื่องพรางชราหรือสันตติ ซึ่งเป็นคำที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์บอกถึงคนที่ไม่ยอมรับความแก่ ก็จะหาความสมถะได้ยาก
ชีวิตก็อาจจะกลิ้งลงเขาไปก็ได้ ..
พอคิดตามผู้ที่ไปถึงก่อนเราที่พอแก่ก็แก่เป็น เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความงดงามของความแก่แล้ว ความแก่นั้นก็ดูเย็น ดูสงบ ดูน่าสนุกและน่าเป็นมิตรอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ…..
โฆษณา