26 มี.ค. เวลา 03:00 • อาหาร
Rimping Supermarket NimCity Branch

ไมโล (Milo) และ โอวัลติน (Ovaltine) แบรนด์ไหนเกิดก่อน ?

ย้อนกลับไปในวัยเด็กหลายคนคงจะคุ้นเคยกันดีกับเครื่องดื่มมอลต์รสช็อกโกแลตอย่างโอวัลติน (Ovaltine) และไมโล (Milo) แต่แน่นอนว่าหลายคนคงจะสงสัยกันไม่น้อยว่าเครื่องดื่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งสองแบรนด์นี้ใครมีต้นกำเนิดมาก่อนกันแน่
.
เรื่องราวของโอวัลติน และไมโลนั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่ทว่าแบรนด์ที่เกิดขึ้นก่อนนั้นคือโอวัลติน (Ovaltine) ที่เดิมทีจะมีชื่อว่า “Ovomaltine” (โอโวมอลต์ไทน์) ที่มาจากคำว่า Ovum ที่แปลว่าไข่ในภาษาละติน และคำว่า Malt
.
โอวัลตินถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1904 โดย Dr. Georg Wander นักเคมีในเมืองเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สูตรดั้งเดิมจะมีส่วนผสมหลักคือมอลต์ นม และไข่ ซึ่งต่อมาไข่ถูกลบออกไปจากสูตร ถูกแทนที่ด้วยผงโกโก้ที่ Albert Wander ลูกชายของ Georg ได้แนะนำให้เติมลงไป ทำให้เครื่องดื่มมีรสชาติดีขึ้น จนเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ
.
โอวัลตินถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้เด็กที่ขาดสารอาหารได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเกิดปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กที่ค่อนข้างมีความรุนแรงอย่างมากในสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยเหตุนี้หลังจากเปิดตัวครั้งแรกโอวัลตินจึงกลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสวิตเซอร์แลนด์ โดยในช่วงแรกนี้จะถูกวางขายตามร้านขายยา เนื่องจากโอวัลตินถูกจัดว่าเป็นอาหารเสริมในทางการแพทย์
.
ในปี 1909 โอวัลตินถูกส่งไปขายในประเทศอังกฤษ แต่กระบวนการจดทะเบียนการค้ากลับมีการสะกดชื่อแบรนด์ผิดกลายเป็น “Ovaltine” แต่ทว่าชื่อใหม่นี้ฟังดูออกเสียงง่าย และติดหูกว่าชื่อเก่า ดังนั้นบริษัทจึงตัดสินใจใช้ชื่อโอวัลตินเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ในตลาดอังกฤษ (ปัจจุบันทั้งในสหราชอาณาจักร อเมริกา ออสเตรเลีย ภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ รวมถึงประเทศไทยเครื่องดื่มมอลต์นี้ก็รู้จักในชื่อโอวัลตินเช่นกัน)
.
ในปี 1915 โอวัลตินก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักในสหรัฐอเมริกา จนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากขณะนั้นยังมีแบรนด์อาหารเสริมเกิดขึ้นน้อยมาก ซึ่งโอวัลตินสร้างแบรนด์ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพความเป็นอยู่โดยรวม ทำให้ดึงดูดผู้บริโภคได้หลากหลายทั้งเด็ก และผู้ใหญ่
.
นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกาโอวัลตินยังเป็นที่รู้จักผ่านกลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่ด้วย โดยมักจะโฆษณาผ่านโปสเตอร์ หรือสปอตโฆษณาในวิทยุกระจายเสียง ซึ่งออกอากาศทางวิทยุครั้งแรกผ่านรายการ Little Orphan Annie และ Captain Midnight รายการวิทยุที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาสมัยนั้น
.
มาต่อกันที่เรื่องราวของไมโล…
ไมโลได้รับการพัฒนาโดย Thomas Mayne นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารที่ทำงานให้กับบริษัท Nestlé ออสเตรเลีย ในปี 1934 ในเมือง Smithtown รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คุ้มค่าสำหรับเด็ก
.
ไมโลอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด ทั้งวิตามิน B, C ,D แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และคาโบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งมีส่วนช่วยในการรักษาระดับพลังงาน โดยมีส่วนผสมหลัก ได้แก่ ข้าวบาร์เลย์มอลต์ นมผง น้ำตาล และโกโก้
.
ไมโลตั้งชื่อตาม Milo of Croton นักมวยปล้ำยุคกรีกโบราณ จ้าวแห่งพละกำลัง และความแข็งแกร่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี เนื่องจากไมโลมีจุดมุ่งหมายไปที่การสนับสนุนด้านกีฬา ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดจึงมุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักกีฬาโดยเฉพาะทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ซึ่งได้รับการเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการในงาน Sydney Royal Easter Show ปี 1934 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
.
ไมโลมักจะสนับสนุนกิจกรรมกีฬาของโรงเรียนทั่วโลก เพื่อส่งเสริมเด็ก ๆ ให้มีสุขภาพที่ดีผ่านกิจกรรม “ไมโลทรัค” หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “ไมโลโรงเรียน” ซึ่งจะให้บริการเครื่องดื่มไมโลฟรีในงานต่าง ๆ ปัจจุบันไมโลยังคงสนับสนุนเด็ก ๆ ด้วยวิธีนี้ จนกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมไปแล้ว
.
นอกจากนี้แบรนด์ยังตั้งเป้าหมายไว้ว่า “เป้าหมายของไมโล คือ การเติมพลังด้วยรสชาติ แสนอร่อย อุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน พร้อมสนับสนุนให้เด็ก ๆ ประสบความสำเร็จในทุกก้าวของชีวิต”
.
บทสรุประหว่างไมโลและโอวัลติน…
ไม่มีตำแหน่งแชมป์ที่ชัดเจนระหว่างไมโล และโอวัลติน…..แม้ว่าเครื่องดื่มทั้งสองชนิดจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองแบรนด์ก็มีจุดหมายที่แตกต่างกัน โดยไมโลจะให้ความสำคัญทางด้านพลังงาน และสนับสนุนด้านกีฬา ส่วนโอวัลตินจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการบำรุงสุขภาพ
สามารถหาซื้อไมโลและโอวัลตินได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
#RimpingSupermarket #Rimping #Ovaltine #Milo
โฆษณา