27 ก.พ. เวลา 11:00 • ธุรกิจ

เปิด 5 ปัจจัย ทำไมลูก-หลาน ไม่อยากสานต่อธุรกิจครอบครัว

การส่งต่อธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและท้าทายที่สุดช่วงหนึ่ง ซึ่งหากปราศจากการวางแผนที่ดี และการเตรียมพร้อมล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือทำให้ไม่สามารถเติบโตต่อไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้
ทั้งนี้ จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เผยให้เห็นว่า จากจำนวนธุรกิจครอบครัวในตลาดหลักทรัพย์กว่า 1,526 บริษัท (คิดเป็นร้อยละ 77.58 ของบริษัททั้งหมด) มีเพียง 30% เท่านั้นที่สามารถส่งต่อธุรกิจไปยังทายาทรุ่นที่ 2 ได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น อัตราความสำเร็จในการส่งต่อธุรกิจไปยังรุ่นที่ 3 ยังลดลงเหลือเพียง 12% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการส่งต่อธุรกิจครอบครัวให้ทายาทรุ่นถัดไปนับเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ
หนึ่งในความท้าทายที่หลายครอบครัวต้องเผชิญในปัจจุบัน คือ การที่ลูกหลานซึ่งมีศักยภาพและความเหมาะสมในการสืบทอด กลับปฏิเสธหรือลังเลที่จะรับช่วงต่อ ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่าน และทำให้ผู้นำในปัจจุบันไม่สามารถวางมือจากธุรกิจได้ โดยมีสาเหตุหลายประการ
💡 เผยมุมมองเชิงลึก กับ 5 ปัจจัยที่ส่งผลให้ลูกหลานไม่อยากสานต่อธุรกิจครอบครัว
1. มุมมองที่มีต่อธุรกิจครอบครัว
ผลการสำรวจจาก Deloitte Private’s 2024 Family Enterprise Survey พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างมุมมองของทายาทรุ่นใหม่และเจ้าของธุรกิจรุ่นปัจจุบัน เกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจครอบครัว โดยทายาทรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับการสร้างเส้นทางอาชีพที่สอดคล้องกับ ‘ความสนใจ’ และ ‘ค่านิยม’ ส่วนตัว การแสวงหาประสบการณ์ และความต้องการที่จะพัฒนาตนเอง มากกว่าการเข้ารับช่วงต่อธุรกิจครอบครัวที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนชินตา
นอกจากนี้ ทายาทหลายคนยังต้องการพิสูจน์ความสามารถผ่านประสบการณ์การทำงานภายนอกองค์กรของครอบครัวก่อน เพื่อพัฒนาทักษะและสร้างความมั่นใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ แทนการกลับมาบริหารธุรกิจของครอบครัว
2. ความไม่สอดคล้องกันระหว่างความถนัดของตนเองและประเภทธุรกิจของครอบครัว
ผลการสำรวจจาก PwC's 11th Global Family Business Survey: Thailand Report พบว่า ธุรกิจครอบครัวไทยจำนวนไม่น้อย ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีเพียง 25% ของธุรกิจครอบครัวไทยเท่านั้นที่มีความสามารถด้านดิจิทัล ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 42%
ซึ่งการขาดความหลากหลายตรงนี้เอง ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการนำมุมมองใหม่ ๆ มาปรับใช้ในธุรกิจ และส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างความเชี่ยวชาญของทายาทรุ่นใหม่กับความต้องการของธุรกิจครอบครัว
3. แรงกดดันจากความคาดหวังของครอบครัวและวัฒนธรรมองค์กร
ในรายงาน Global Family Business Survey ของ PWC ยังระบุว่า ธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่เลือกจัดการความขัดแย้งภายในด้วยตนเอง
โดย 49% มักเลือกแก้ไขปัญหาภายในกันเอง โดยอาจมีเพียงสมาชิกในครอบครัวหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินการแก้ไข ซึ่งการขาดกลไกการจัดการความขัดแย้งที่เป็นระบบนี้ ทำให้ทายาทรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความคาดหวังของครอบครัว และวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้การนำเสนอแนวคิดหรือวิธีการใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจเป็นไปได้ยาก และอาจทำให้ทายาทรุ่นใหม่รู้สึกไม่มั่นใจในการเข้ามามีบทบาทในธุรกิจครอบครัว
4. การมองเห็นความไม่มั่นคงทางธุรกิจ
ธุรกิจครอบครัวจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดย่อมหรือ SME มักมีทุนหมุนเวียนจำกัด ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจอาจประสบปัญหาทางการเงิน หรือความไม่มั่นคงในอนาคต ลูกหลานจึงรู้สึกไม่มั่นใจที่จะรับช่วงต่อ เพราะมองไม่เห็น ‘วันข้างหน้า’ และหวาดกลัว ‘ความไม่มั่นคง’
5. ความกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของตนเอง
ไม่ได้มีเพียงคนรุ่นก่อนเท่านั้น ที่รู้สึกภาคภูมิเมื่อได้สร้างบางสิ่งบางอย่างด้วยมือของตัวเอง คนรุ่นใหม่ก็เช่นเดียวกัน! พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบให้เป็นรูปเป็นร่างได้ ดังนั้น จึงไม่แปลก หากคนรุ่นใหม่จะกังวลว่า การรับช่วงต่อธุรกิจของทางบ้าน ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถของตัวเองและทำให้รู้สึกเปรียบเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างตั้งใจ
💡หากอยากให้รุ่นลูก - หลานรับช่วงต่อจริง ๆ ควรทำอย่างไร
1. เปิดใจพูดคุยเพื่อปรับมุมมองและสร้างความเข้าใจร่วมกัน
ผลสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลก ฉบับประเทศไทยของ PwC ยังระบุอีกว่า 72% ของธุรกิจครอบครัวในประเทศไทยยังคงมีการรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่ผู้บริหารระดับสูง และมีเพียง 18% เท่านั้นที่มีระบบจัดการความขัดแย้งที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งการแก้ไขสถานการณ์นี้จำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างการสื่อสารแบบสองทางที่เปิดโอกาสให้ทั้งรุ่นผู้ก่อตั้งและทายาทได้แลกเปลี่ยนมุมมอง ความคาดหวัง และข้อกังวลอย่างตรงไปตรงมา เช่น การจัดประชุมครอบครัวอย่างเป็นทางการและสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) สำหรับการหารือประเด็นสำคัญ และนำไปสู่การพัฒนากลไกการจัดการความขัดแย้งที่ทุกฝ่ายยอมรับ
2. สร้างความคุ้นเคยและพัฒนาความเข้าใจในธุรกิจแบบองค์รวม
เพื่อให้ทายาทสามารถรับช่วงต่อธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับโอกาสในการเรียนรู้การดำเนินงานในทุกมิติ ตั้งแต่โครงสร้างองค์กร ห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงกลยุทธ์ทางการตลาดและแนวโน้มอุตสาหกรรม โดยควรให้พวกเขาได้ทดลองทำงานในแผนกต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้ระบบการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นอกจากนี้ การมอบหมายโครงการพิเศษให้ทำ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ทายาทได้พัฒนาทักษะการบริหารและความเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยอีกด้วย
3. จัดทำธรรมนูญครอบครัว (Family Constitution) เพื่อกำหนดกติกาที่ชัดเจน
ธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว มักจะมี "ธรรมนูญครอบครัว" ซึ่งเป็นข้อตกลงที่กำหนดแนวทางการบริหาร กฎเกณฑ์การตัดสินใจ และแนวทางในการแก้ไขข้อขัดแย้งให้เป็นระบบ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือธุรกิจครอบครัวระดับโลก อาทิ Walmart ที่มีการกำหนดบทบาทของสมาชิกครอบครัวไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ การสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง หรือขอบเขตอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมืออาชีพ ลดความขัดแย้ง และรักษาความมั่นคงขององค์กรในระยะยาว ทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาความขัดแย้งภายในและสร้างความมั่นใจให้กับทั้งเจ้าของและผู้สืบทอด
4. กำหนดวันส่งต่อธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อให้ทายาทได้เตรียมพร้อมก่อนลงมือบริหารจริง
การส่งต่อธุรกิจไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า (Succession plan) เป็นปี ๆ เพื่อให้ทายาทมีเวลาปรับตัว โดยควรมีการกำหนดเส้นเวลาที่ชัดเจน ตั้งแต่ การก้าวลงจากตำแหน่งของผู้นำ การมอบหมายความรับผิดชอบ การฝึกอบรม และการให้บทบาทต่อทายาทที่ผ่านกระบวนการสรรหาตามธรรมนูญของครอบครัวในคณะกรรมการบริหารก่อนเข้ารับตำแหน่งเต็มตัว
ในทางกลับกัน หากในบางจังหวะเวลา ที่ทายาทธุรกิจยังไม่พร้อมที่จะรับช่วง การมีแผนรองรับ (Contingency plan) ก็จะช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น เช่น การนำมืออาชีพเข้ามาช่วยในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ การวางแผนที่ดีจะช่วยลดแรงกดดัน และทำให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ธุรกิจครอบครัวเป็นมากกว่าการสืบทอดมรดกทางธุรกิจ แต่เป็นการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ รากฐานและเครือข่าย ชื่อเสียง ตลอดจนความผูกพันอันแข็งแกร่งของครอบครัวให้คงอยู่ต่อไป ดังนั้น การส่งต่อธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการเตรียมการอย่างรอบคอบด้วยแนวทางข้างต้นนี้ เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวสามารถประสบความสำเร็จ มีความเป็นมืออาชีพ และสามารถดำเนินกลยุทธ์ได้ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้อย่างยั่งยืนในยุคที่ภูมิทัศน์ทางธุรกิจมีความท้าทายจากรอบด้านเฉกเช่นในปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง
1. เปิดตัวเลข ‘ธุรกิจครอบครัว’ อยู่รอดถึงรุ่น 2 แค่ 30% มีอยู่ 12% ส่งผ่านไปถึงเจน 3 สำเร็จ. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.matichon.co.th/economy/news_4510223.
2. วางแผน ส่งต่อธุรกิจครอบครัว อย่างไร ไม่ให้ล้มเหลว. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://idolplanner.com/ส่งต่อธุรกิจครอบครัว/.
3. เผย 6 เทคนิค การวางแผนสืบทอด ส่งต่อธุรกิจครอบครัวจากที่ปรึกษามืออาชีพ. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://idolplanner.com/เผย-6-เทคนิค-การวางแผนสืบ/.
4. ขั้นตอนส่งต่อกิจการให้รุ่นลูก เมื่อถึงเวลาวางมือ. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://flowaccount.com/blog/pass-business-next-generation/.
5. 2024 Family Enterprise Survey. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www2.deloitte.com/us/en/pages/deloitte-private/articles/family-business-next-generation-insights.html.
6. PwC’s 11th Global Family Business Survey: Thailand Report. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.pwc.com/th/en/services/EPB/family-business-survey-2023-en.html.
7. Walmart Is on a Winning Streak. How the Walton Family Keeps the World’s Biggest Retailer on Track. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.barrons.com/articles/walmart-retail-walton-family-8bd89096.
8. Why Most Grown-Up Kids Do Not Want to Take Over Their Parents' Business. สืบค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.linkedin.com/pulse/why-most-grown-up-kids-do-want-take-over-parents-business-kemp-bdb2e/.
โฆษณา