Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ด.ดล Blog
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
1 มี.ค. เวลา 04:26 • การศึกษา
ทำไมจีนถึงสั่งแบนกวดวิชา? ระเบิดเวลาในระบบการศึกษาจีน เมื่อความเท่าเทียมกลายเป็นแค่ความฝัน
ลองจินตนาการชีวิตเด็กวัย 12 ปี ตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง รีบคว้าอาหารเช้าติดมือระหว่างเดินทางไปโรงเรียน พอไปถึงก็ต้องออกกำลังกายแบบทหารครึ่งชั่วโมง ก่อนเริ่มเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้า
วันทั้งวันต้องนั่งนิ่งๆ ตอบคำถามเมื่อถูกถาม ท่องจำตัวอักษรและข้อเท็จจริงมากมาย เรียนไปจนถึง 5 โมงเย็นกว่า แต่ชีวิตยังไม่จบแค่นั้น หลังกินข้าวเย็นอย่างเร่งรีบ ก็ต้องรีบไปเรียนพิเศษต่อ
1
เรียนพิเศษจนถึง 3-4 ทุ่ม บางทีก็ดึกถึงเที่ยงคืน กว่าจะได้นอนก็ตีหนึ่ง ตื่นมาก็ต้องทำซ้ำแบบนี้ทุกวัน นี่คือชีวิตสุดโหดของเด็กจีนนับล้านคน ที่โดนบีบให้ต้องแข่งขันกันอย่างเข้มข้น จนบางคนแทบจะบ้าอยากหนีออกจากวงจรนี้
แล้วทำไมต้องเรียนหนักขนาดนี้? ก็เพราะถ้าไม่เรียนพิเศษ เด็กจะไม่ได้เข้าห้อง “พิเศษ” ที่มีครู “เทพ” สอน ถ้าไม่ได้เรียนกับครูเทพ ก็จะทำข้อสอบเข้ามัธยมปลายไม่ได้ ถ้าสอบเข้ามัธยมดีๆ ไม่ติด ก็จะไม่มีทางสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้
3
และถ้าไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยดัง ชีวิตก็จะตกต่ำสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่มีงานออฟฟิศดีๆ ไม่มีบ้าน ไม่ได้แต่งงาน… ชะตาชีวิตของเด็กถูกขีดเขียนไว้แล้วตั้งแต่อายุ 12 ปี
1
คนที่ได้ประโยชน์จากความโหดร้ายนี้คือบริษัทกวดวิชา ที่เติบโตแบบพุ่งกระฉูดขึ้นสี่เท่าระหว่างปี 2012 ถึง 2018 ทั้งที่จำนวนนักเรียนเท่าเดิม ช่วงที่เนื้อหอมที่สุด มีสถาบันกวดวิชาในประเทศเกือบเท่ากับจำนวนโรงเรียน
1
จนกระทั่งคืนวันเสาร์หนึ่งในปี 2021 รัฐบาลจีนตัดสินใจยุติเรื่องนี้ ด้วยการลงนามเพียงครั้งเดียว อุตสาหกรรมมูลค่า 120 พันล้านดอลลาร์ต่อปีก็ถูกทำลายล้างเกือบจะในชั่วข้ามคืน
ศูนย์กวดวิชา 120,000 แห่งถูกสั่งปิดถาวร พนักงานแสนคนตกงานกะทันหัน ห้างสรรพสินค้า ถนน และย่านต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป ราวกับว่า McDonald’s, Subway และ Starbucks ทั้งหมดหายไปพร้อมกัน
โรงเรียนเอกชนนับพันถูกบังคับขายให้รัฐ การบ้านบางส่วนถูกสั่งห้าม ชาวต่างชาติถูกห้ามทำงานในวงการนี้ บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งต้องปลดพนักงานถึง 60,000 คน
3
ทำไมรัฐบาลถึงจัดหนักขนาดนี้? ทั้งที่การว่างงานของคนหนุ่มสาวพุ่งสูงถึง 20% และธุรกิจกวดวิชาเป็นนายจ้างรายใหญ่ของบัณฑิตจบใหม่
1
ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องอุดมการณ์ รัฐบาลสูญเสียการควบคุมการศึกษา เมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อน ติวเตอร์ถูกห้ามดำเนินการในรูปแบบธุรกิจ แต่ตอนนี้ พวกเขาจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก คนอเมริกันสอนเด็กจีนผ่านอินเทอร์เน็ต
4
ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลจีนก็กำลังจัดการกับบริษัทเทคโนโลยี เกม และคนดัง เพื่อย้ายอำนาจจากภาคเอกชนกลับมาสู่รัฐ
1
แต่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องอุดมการณ์หรืออำนาจ ปักกิ่งกำลังแก้ปัญหาสังคมจริงๆ การกวดวิชากลายเป็นการแข่งขันแบบที่ทุกคนต้องเข้าร่วม แต่ไม่มีใครชนะจริงๆ
วันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุด และฤดูร้อน ทุกช่วงเวลาว่างของเด็กถูกยัดเยียดด้วยการเรียนพิเศษ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายยังสูงลิบ ครอบครัวในเมืองโดยเฉลี่ยใช้จ่าย 12% ของรายได้ไปกับการกวดวิชา ซึ่งมากกว่ารายได้ทั้งหมดของครอบครัวในชนบท
3
ในบางส่วนของเซี่ยงไฮ้ ครอบครัวเฉลี่ยจ่ายถึง 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อการศึกษาเสริมก่อนเด็กจะถึงมัธยมปลาย ไม่แปลกที่ไม่มีใครอยากมีลูก ในเจ็ดปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดของจีนดิ่งลงจากสูงกว่าสหรัฐฯ เล็กน้อย กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ต่ำที่สุดในโลก
1
แต่การปราบปรามกลับไม่ได้ผลอย่างที่คิด ก่อนที่หมึกบนคำสั่งจะแห้ง ผู้ปกครองก็หาทางหลบเลี่ยงแล้ว ติวเตอร์แอบสอนในโรงแรม ห้องสมุด หรือบ้านส่วนตัว
บางคนเปลี่ยนชื่อคลาส “ภาษาอังกฤษ” เป็น “การพูดในที่สาธารณะ” บางคนโฆษณาตัวเองเป็น “พี่เลี้ยงมืออาชีพ” ที่บังเอิญมีปริญญาวิศวกรรมขั้นสูง
ที่แย่กว่าคือ การกวดวิชาไม่ได้หายไป แต่แพงขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ ติวเตอร์สอนนักเรียนได้ครั้งละหลายสิบหรือร้อยคน แต่ตอนนี้ต้องสอนแบบตัวต่อตัวเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ทำให้ค่าเรียนพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
3
ผู้ปกครองรายได้น้อยและปานกลางไม่เพียงถูกตัดออกจากตลาด แต่ยังขาดเวลาและเครือข่ายในการหาติวเตอร์ส่วนตัวด้วย สรุปคือ การปราบปรามมีผลตรงข้าม ทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งกว้างขึ้น
ปัญหานี้สะท้อนความท้าทายใหญ่กว่าในสังคมจีน จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก มีคนราว 600 ล้านคนที่มีรายได้เพียง 1,900 ดอลลาร์ต่อปี ชีวิตของพวกเขาคล้ายคนใน Haiti หรือ Nigeria มากกว่าเพื่อนร่วมชาติ
2
ในขณะที่คนอีกกลุ่มมีชีวิตสบายเทียบเท่าหรือดีกว่าคนอเมริกัน เป็นเจ้าของบ้านหลายล้าน เดินทางไปทั่วโลก อาศัยในเมืองที่สะอาด ทันสมัย และปลอดภัยอย่างน่าทึ่ง
แล้วประเทศจะรักษาความสมานฉันท์ระหว่างสองโลกนี้ได้อย่างไร? คำตอบคือระบบคุณธรรม (meritocracy) ที่ทำให้ทั้งคนรวยและคนจนเชื่อว่าทุกคนได้รับสิ่งที่พวกเขาควรได้รับตามความสามารถ
3
รากฐานของความเชื่อนี้คือการสอบ Gaokao ซึ่งเป็นตัวกำหนดผู้ชนะและผู้แพ้ทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากนายจ้างจีนสนใจแค่ว่าคุณจบจากมหาวิทยาลัยไหน ไม่ใช่เกรดที่คุณได้
แต่ความจริงก็คือ ระบบนี้ไม่ได้ยุติธรรมเลย ที่มหาวิทยาลัย Tsinghua (MIT ของจีน) ผู้สมัครจากปักกิ่ง 22 ล้านคน ได้รับคัดเลือกมากกว่าผู้สมัครจากสองจังหวัดที่มีประชากรรวม 228 ล้านคน
2
จากการสำรวจนักศึกษา 20,000 คน มีเพียง 42 คน (0.21%) ที่เป็นผู้หญิงจากชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ชนบทยากจน ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดอยู่ภายในจังหวัดเดียวกัน โรงเรียน “ท็อป” ในจังหวัดยากจนส่งนักเรียน 95% เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ขณะที่โรงเรียน “แย่” ในจังหวัดรวยส่งได้แค่ 2%
3
พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามปกปิดตัวเลขเหล่านี้ รักษาภาพลวงของความยุติธรรม แต่ธุรกิจกวดวิชากลับโลภเกินไป สิ่งที่เริ่มต้นเป็นบริการช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนตามไม่ทัน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นธุรกิจซับซ้อน ไร้การควบคุม และเชิงพาณิชย์สุดๆ
2
ยุคที่เด็ก 17 สอนเรขาคณิตให้เด็ก 13 ที่โต๊ะในครัวผ่านไปแล้ว ตอนนี้พนักงานขายมืออาชีพกำลังโน้มน้าวพ่อแม่ที่สิ้นหวังให้ซื้อหลักสูตร “ความมั่นใจในการสอบ” ราคาแพงลิบ สอนโดยติวเตอร์ดังในห้องเรียนขนาด 300 คน
1
เหมือนธุรกิจทั่วไป พวกเขาขายสิ่งที่ลูกค้าต้องการ – ทางลัดในการสอบ กลยุทธ์ เคล็ดลับ และ “เทคนิค” ต่างๆ เพื่อ “แฮก” Gaokao ให้ได้ผล
1
แต่ในการทำเช่นนั้น พวกเขาทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของการสอบ ซึ่งเข้าใกล้การตั้งคำถามต่อ “ระบบ” โดยรวม จนรัฐบาลต้องลงมือจัดการ
บทเรียนสำคัญคือ แม้แต่รัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะพลังของพ่อแม่ที่ต้องการช่วยเหลือลูกได้ ตราบใดที่ “ความสำเร็จ” ถูกนิยามแคบๆ ว่าเป็นการได้คะแนนสูงใน Gaokao ผู้ปกครองจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก – ไม่ว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่
1
ไม่มีรัฐบาลใด – แม้แต่รัฐบาลจีนที่โครตโหด – สามารถโน้มน้าวพ่อแม่ไม่ให้ช่วยลูกได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประวัติศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาเล่าเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรม
3
แล้วทำไมรัฐบาลยังเพิกเฉยต่อบทเรียนนี้? เพราะพวกเขาไม่สามารถหรือไม่เต็มใจทำทางเลือกอื่น ความจริงที่เรียบง่ายก็คือ ทุกอย่างเอื้อประโยชน์ให้คนรวย ไม่มีการทดสอบหรือกระบวนการใดที่ไม่ให้ความได้เปรียบแก่คนมั่งมี
1
ระบบที่ยุติธรรมที่สุดคือการทดสอบมาตรฐานแบบเก่าแก่ เรียบง่าย อย่างน้อย “กฎ” ของ “เกม” เป็นที่รู้กันทั่วไป แม้ทุกคนจะมีจุดเริ่มต้นต่างกัน
1
บางทีการศึกษาอาจไม่ได้ช่วยในการลดความเหลื่อมล้ำ – เป็นเครื่องมือผิดประเภทสำหรับงานนี้ โรงเรียนไม่สามารถแก้ไขความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน พ่อแม่ ทรัพยากร ความสามารถ และข้อบกพร่องของพวกเขาได้
ถ้าเราต้องการลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง เราต้องแก้ไขที่ปัจจัยเหล่านั้น ต้องมองไกลกว่าการศึกษา แต่เนื่องจากไม่มีความต้องการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบถึงรากถึงโคนอย่างแท้จริง เราจึงติดอยู่กับวงจรของการปฏิรูปที่ผิดทิศทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
2
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่จีนห้ามการกวดวิชาเอกชน ง่ายกว่ามากที่จะโทษโรงเรียนแทนที่จะเผชิญหน้ากับวันทำงาน 12 ชั่วโมง ราคาบ้านที่พุ่งทะยาน และการว่างงานของคนหนุ่มสาว 20% – แรงกดดันแท้จริงที่ทำให้นักเรียนต้องต้องการความได้เปรียบตั้งแต่แรก
1
การแก้ไขปัญหาที่ผิดทิศทางแบบนี้คือการใช้พลาสเตอร์ปิดแผลแทนที่จะรักษาโรคที่แท้จริง เป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่เพียงสำหรับจีนเท่านั้น แต่สำหรับทุกประเทศที่พยายามปฏิรูปการศึกษาโดยไม่แก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจที่อยู่เบื้องหลัง
4
The original article appeared here
https://www.tharadhol.com/why-did-china-ban-tutoring/
1
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย -->
https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
คลิกเลย -->
https://www.blockdit.com/articles/5cda56f1e5eac0101e278c73
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
Website :
www.tharadhol.com
Blockdit :
www.blockdit.com/tharadhol.blog
Fanpage :
www.facebook.com/tharadhol.blog
Twitter :
www.twitter.com/tharadhol
Instragram :
instragram.com/tharadhol
TikTok :
tiktok.com/@geek.forever
Youtube :
www.youtube.com/c/mrtharadhol
Linkedin :
www.linkedin.com/in/tharadhol
จีน
ธุรกิจ
เทคโนโลยี
62 บันทึก
78
3
101
62
78
3
101
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย