1 มี.ค. เวลา 05:39 • ความคิดเห็น
กรณีศึกษาที่น่าคิดยิ่งกว่ากระทู้ ก็คือกรณีแม่ปุ๊กใจมาร ที่กรอกน้ำยาล้างห้องน้ำให้ลูกกิน เพื่อให้ลูกอาเจียนออกมาเป็นเลือด แล้วโพสต์ภาพดังกล่าวลงเพจ FB เพื่อหวังเงินบริจาคที่หลั่งไหลไม่ขาดสาย ซึ่งท้ายที่สุด "แม่ปุ๊กก็ต้องโทษประหารชีวิตสถานเดียว โดยไม่มีเหตุลดโทษ"
1
ส่วนตัวเราจึงตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้ว กรณีข้างต้นผู้บริจาคได้กระทำความดี หรือมีส่วนร่วมกระทำความชั่วกันแน่ บริจาคเงินเพื่อให้แม่ปุ๊ก นำเงินไปซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ กรอกปากลูกให้อาเจียนเป็นเลือดทุกวัน"
อีกกรณีศึกษาที่ตลกร้ายมากๆ ก็คือ การจับกุมขอทานข้ามชาติ ซึ่งจนท.ตำรวจ พบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ มีเงินฝากบัญชีในธนาคารเป็นหลักล้าน ในขณะที่คนไทยหลายคน ขวนขวายทำมาหากิน เงินฝากในธนาคาติดลบเพราะปัญหาหนี้ครัวเรือน นศ.จบปริญญาตรี ชีวิตเพิ่งเริ่มต้นทำงาน พยายามศึกษาหาความรู้ตั้งคำถามว่า "ทำอย่างไรจึงจะมีเงินล้านแรก!"
แต่เรื่องตลกร้ายสำหรับศาสนาพุทธบ้านเรา ที่ไม่ว่าพระไตรปิฏกจะมีกำกับในพระวินัยไว้อย่างใดก็ตาม แต่กฎหมายกลับระบุว่า.....
ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ
ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุ ซึ่งพระภิกษุ
สามารถที่จะจำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิต
หรือทำพินัยกรรมกับทรัพย์สินเหล่านั้นได้
รวมถึงสามารถนำกลับไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
ภายหลังจากลาสิกขาได้อีกด้วย
วัดในชนบทห่างไกล จึงต็มไปด้วยพระนอกรีต
สังคมจึงไม่ได้อุดมปัญญาอีกต่อไป เพราะสังคมตอนนี้กำลังอุดมดราม่า!!!
โฆษณา