1 มี.ค. เวลา 12:17 • ประวัติศาสตร์
ลางซอน

ครบรอบ 46 ปี สงครามจีน–เวียดนาม หรือรู้จักกันในชื่อสงครามอินโดจีนครั้งที่สาม 17 กพ. - 16 มีค 1979

เป็นสงครามชายแดนสั้น ๆ โดยที่จีนเปิดสงครามรุกข้ามชายแดนเวียดนามลึกเข้าไปเกือบถึงฮานอย ห่างเพียง 80 กม. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลเวียดนามและโซเวียตที่เข้าครอบงำเขมรและลาวที่เป็นประเทศบริวารใกล้ชิดของจีนครับ
สงครามสั่งสอน คือสงครามระหว่างจีนและเวียดนามซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ – 16 มีนาคม 1979 มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไปเช่นสงครามอินโดจีนครั้งที่ 3 หรือ สงครามจีน - เวียดนามเป็นต้น(คนไทยจำนวนไม่น้อยเรียกสงคราม​สั่งสอน)​ นับเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของสงครามเย็นในเอเชียอาคเนย์ ตั้งแต่ประมาณปี 1978 จนถึงปี 1989
หลังจากสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือ (30 เมษายน 1975) และรวมชาติได้สำเร็จ เวียดนามก็ทำสงครามต่อเนื่องเข้ารุกรานกัมพูชาที่ปกครองด้วยเขมรแดง(เป็นคอมมิวนิสต์ตามแบบจีน และจีนให้การสนับสนุน) และเข้า ประชิดชายแดนไทยที่จังหวัดสระแก้ว ส่วนประเทศจีนเพิ่งผ่านช่วง 10 ปี ของการปฏิวัติวัฒนธรรม (1966-1976) มาได้ไม่นาน มีการเปลี่ยนผู้นำใหม่เป็นเติ้งเสี่ยวผิงและริเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยการเปิดประเทศ
เวียดนามในขณะนั้นแม้จะปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์แต่ก็อิงตามแบบโซเวียต ต่างจากจีน โดยเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายที่ยึดครอง เวียดนามใต้เพื่อรวมประเทศได้สำเร็จ รวมทั้งสามารถขับไล่สหรัฐจากอินโดจีนได้อีกด้วย แต่เวียดนามเริ่มที่จะตีตนห่างจากจีน แม้จีนจะได้ช่วยเหลือในสงครามเวียดนามที่ผ่านมาอย่างมหาศาลไม่น้อยไปกว่าโซเวียต ในขณะที่เวียดนามได้กระชับมิตรสนิทกับโซเวียตมาก
ยิ่งขึ้น ๆ
โดยมุมมองของรัฐบาลเวียดนามมีต่อจีนว่าจีนต้องการเป็นชาติมหาอํานาจ ผ่านยุทธศาสตร์ “ขยายอำนาจเหนือชาติอื่น” และยุทธศาสตร์ “ครองความเป็นเจ้า” โดยเวียดนามอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ของจีน ประเด็นที่สอง เวียดนามมองว่า “จีนทรยศ” ต่อเวียดนาม โดยเฉพาะเมื่อจีนได้ติดต่อสัมพันธ์กับอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ชาวเวียดนามกำลังสู้กับอเมริกาเพื่อรวมประเทศ ต่อมาเมื่อสิ้นสงครามเวียดนาม จีนได้ให้การสนับสนุนกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) นับเป็นภัยคุกคามประเทศเวียดนาม
ต่อมาเมื่อเวียดนามส่งทหาร 150,000 นายรุกรานกับพูชาที่เป็นพันธมิตรกับจีนในวันที่ 25 ธันวาคม 1978 จนได้ชัยชนะในเวลาเพียงสองสัปดาห์ สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่นิยมเวียดนามมีแกนนำรัฐบาลสำคัญคือ “เฮงสัมริน” นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยึดครองของเวียดนามนานสิบปี เติ้ง เสี่ยวผิง มองการบุกปราบเขมรแดงเป็นฟางเส้นสุดท้ายเพราะจีนมองเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นความพยายามของ เวียดนาม-โซเวียตที่จะปิดล้อมจีน
จีนและสหภาพโซเวียตได้กลายเป็นศัตรูในช่วงสงครามเย็น แม้จะเป็นมหาอำนาจคอมมิวนนิสต์ทั้งสองประเทศ โดยได้เกิดความขัดแย้งในอุดมการณ์ เกิดการปะทะชายแดนหลายครั้งตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 จนถึงปี 1972 "USSR.ส่งอาวุธ​ยุทโธปกรณ์​มาสนับสนุน​มหาศาล​ ทั้งยังส่งกองเรือมาก่อกวน​จีนทางทะเล​ ที่สำคัญ​กองทัพ​เเดงของโซเวียต​ตรึงกำลังไว้ชายเเดนจีน-โซเวียต​ พร้อมเอาขีปนาวุธ​มาขู่​ ว่าหากจีนยังไม่เลิกยุ่งหรือเลิกวุ่นวาย​กับเวียด​นาม​ ปักกิ่ง​จะได้รับรู้ฤทธิ์​ระเบิดนิวเคลียร์​
เเต่จีนไม่สนใจขู่กลับเเรงเช่นกัน​ เพราะมีสหรัฐ​กับชาติตะวันตก​สนับสนุน​อยู่ ว่าถ้าปักกิ่ง​พังพินาศ​ มอสโก​ก็ต้องพังพินาศ" นอกจากนี้ผู้นำจีน เติ้ง เสี่ยวผิง ไปเยือนสหรัฐฯ ในปี 1979 ก่อนหน้านั้น 7 ปี ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ไปจีนเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กันทั้งที่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในสมรภูมิเวียดนาม แม้การเชื่อมความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้ทำให้นิกสันได้รับเกียรติและการยกย่องอย่างมาก แแต่ก็เริ่มส่งผลกระทบถึงความรู้สึกของรัฐบาลเวียดนามเหนือต่อจีนในด้านลบ
1 มกราคม 1979 เติ้งเสี่ยวผิงซึ่งกำลังเยือนอเมริกาได้กล่าวที่ทำเนียบขาว ขณะเข้าพบปธน.จิมมี่ คาร์เตอร์ ถึงเวียดนามว่า
"เพื่อนตัวน้อยไม่เชื่อฟัง ควรจับตีก้น" "The little child is getting naughty, it's time he get spanked."
เติ้ง เสี่ยวผิง เดินทางกลับจากสหรัฐไม่กี่วัน ก็ได้ทำอย่างที่ว่าไว้ ไม่ปล่อยเวียดนามทำอะไรตามอำเภอใจ​แบบนี้ต่อไป​ ก็เท่ากับว่าปล่อยให้ศัตรู​คนสำคัญ​ (ตอนนั้นจีนเเตกกับโซเวียต​เเล้ว)​ อย่างสหภาพ​โซเวียต​ปิดล้อม​จีน​ สาเหตุที่เลือก วัน ว. บุกโจมตีเวียดนามส่วนหนึ่งจึงมากจากการที่ ในเดือนกุมภาพันธ์จะเป็นช่วงเวลาที่แม่น้ำกั้นชายแดนจีน-โซเวียต ซึ่งเป็นน้ำแข็งละลาย ทำให้รถถังหรืออาวุธหนักของโซเวียตไม่สะดวกที่จะรุกเข้าจีนถ้าหากว่าจะช่วยเวียดนาม
ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1979 กองทัพจีนก็ได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนามเป็นครั้งแรกทหารจีน 600,000 นายเข้าสู่สนามรบ แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้ยุทโธปกรณ์ทึ่ล้าสมัย หลังปิดประเทศอยู่นานนับ 10 ปี ในขณะที่ทหารเวียดนามทหาร 200,000 นาย ตั้งรับอยู่พร้อมด้วยอาวุธทันสมัย ที่โซเวียตส่งให้ หรือที่อเมริกาทิ้งไว้หลังถอนตัวจากสงครามเวียดนาม
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1979 กองทัพจีนบุกข้ามชายแดนเวียดนาม บุกยึดสามเมืองของเวียดนาม แต่ทหารจีนที่เป็นฝ่ายบุกก็สูญเสียจำนวนมาก จึงได้หันมาใช้กลยุทธ์การยิงปืนใหญ่ ที่ว่ากันว่ายิงต่อเนื่องได้ นาทีละ 10-15 นัด ทั้งวันทั้งคืน ผ่านไป 7 วันกองทัพปลดแอกประชาชนจีนก็ยึดเมืองหลั่งเซินได้สำเร็จ ฝ่ายตั้งรับกองทัพประชาชนเวียดนาม (VPA) เสริมกำลังโดยระดมกำลังจากภาคกลาง ภาคใต้ของเวียดนาม และจากกัมพูชาอย่างรวดเร็ว แล้วเคลื่อนพลไปยังชายแดนทางเหนือของเวียดนาม
ตั้งแต่วันที่ 18 – 25 กุมภาพันธ์ 1979 กองพลที่ 327 จากมณฑลทหารบกที่ 3 และกองพลที่ 337 จากมณฑลทหารบกที่ 4 ได้ร่วมกับมณฑลทหารบกที่ 1 เพื่อป้องกันภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อมาตั้งแต่วันที่ 6 - 11 มีนาคม กองทัพน้อยที่ 2 ซึ่งประจำการที่กัมพูชาได้เคลื่อนทหารไปที่กรุงฮานอย ฝ่ายกองทัพอากาศนั้น กองพลอากาศที่ 372 จากภาคกลางของเวียดนาม รวมทั้งกรมทหารอากาศที่ 917 กรมทหารอากาศที่ 935 และกรมทหารอากาศที่ 937 จากภาคใต้ได้เคลื่อนกำลังไปภาคเหนืออย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเวียดนามขอความช่วยเหลือไปที่โซเวียต พันธมิตรที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้น โซเวียตจึงได้ส่งเครื่องบินลำเลียงกองกำลังทัพเวียดนามหลายกองพลเพื่อขึ้นสู้รบทางภาคเหนือให้ทันสถานการณ์ นอกจากนี้ยังได้ส่งมอบรถถัง รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ เครื่องยิงลูกระเบิด อาวุธต่อสู้อากาศยาน เครื่องยิงจรวดภาคพื้นดิน (BM – 21) ขีปนาวุธต่อสู้รถถัง ขีปนาวุธต่อสู้อากาศยาน
นอกจากนี้กองทัพโซเวียตได้เพิ่มเติมกำลังที่ชายแดนจีน - โซเวียต และชายแดนมองโกเลีย – จีน เพื่อแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนของโซเวียตต่อเวียดนาม อย่างไรก็ตามผู้นำโซเวียตได้ประกาศว่า จะไม่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้
สงครามเกิดขึ้นกินเวลา 16 วัน นับจาก 17 กุมภาพันธ์ 1979 - 3 มีนาคม 1979 ทหารจีนพลีชีพ 30,000 นาย ทหารเวียดนามพลีชีพ 50,000 นาย เมื่อจีนบุกลึกเข้ามาจนถึงจังหวัดหล่างเซินเมืองหน้าด่านก่อนเข้าฮานอย ก็ถอนทัพกลับ (และได้ประกาศว่า ถ้าเวียดนามนามโต้กลับ จะบุกเข้ายึดฮายนอยอีกครั้ง)
ขณะนั้นจีนไม่ได้มียุทโธปกรณ์ที่ล้ำสมัยมากนัก การจะรบระยะยาว คงจะไม่สามารถยันได้นานนัก วิเคราะห์ไว้ว่าทำไมจึงถอนกำลังเร็วนัก ส่วนหนึ่งก็พออ้างได้ว่าบรรลุจุดประสงค์ที่ทำให้เวียดนามถอนกำลังจากกัมพูชาได้ และทำให้กองทัพเวียดนามล่มสลายไปได้จนหมดความสามารถในการตอบโต้(ซึ่งเป็นโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ไม่เป็นความจริง....มีการวิเคราะห์เพิ่มภายหลัง)
สงคราม​จีน-เวียดนาม​ (สงคราม​สั่งสอน)​ แน่นอนว่ามีความเกี่ยวพันกับอธิปไตยของไทยอย่างยิ่ง เดิมไทยก็เป็นพันธมิตรสำคัญใน SEATO เพื่อช่วยเวียดนามใต้ และสหรัฐอยู่ก่อนแล้ว การเข้ายึดลาว และกันพูชา สร้างความกังวลให้ฝ่ายไทยพอสมควรกลัวโดมิโนจะล้มตาม นอกจากนี้การขยับความสัมพันธ์ที่ไทยกำลังจะหาโอการเป็นพันธมิตรที่สนิทกับจีน(ที่กำลังจะกลายเป็นศัตรูของเวียดนาม) เพิ่มเข้าไปอีก
แต่เเท้จริงเเล้วจีนไม่ได้บุกเวียดนามเพื่อช่วยไทย ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ที่มองไปในแนวทางนั้น มีแต่เพียงเห็นพ้องกันว่าสาเหตุที่จีนบุกเวียดนามเพราะ เวียดนามตีเขมรแดงที่ขณะนั้นจีนสนับสนุนอยู่ นี่คือความจริงทางประวัติศาสตร์ และไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับการติดต่อกันของ ทหารไทยกับ รัฐบาลจีน
นั้นมีแต่หลีกฐานว่า ส่วน​จีนขอส่งอาวุธผ่านไทยไปให้ทหารเขมรแดงที่อยู่ตามชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้ใช้ต่อสู้กับทหารเวียตนามในกัมพูชา เเล้วข้อแลกเปลี่ยน​คือจีนจะยุติการสนับสนุนพรรค​คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเท่า​นั้นเอง ในที่สุดจีนจึงตัดสินใจทำสงครามกับเวียดนาม เพื่อตอบโต้การบุกโจมตีกัมพูชา ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลจีน ส่วนวัตถุประสงค์ว่าเพื่อช่วยไทย ไม่มีบันทึกในประวัติศาตร์ในระดับสากลว่าเป็นเรื่องจริง
ยึดจังหวัดด้านเหนือของเวียดนามได้สำเร็จ จีนจึงได้ประกาศว่าบัดนี้ประตูมุ่งสู่ฮานอยได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว นับว่าเสร็จสิ้นภารกิจ "ลงโทษ" เวียดนาม จึงได้มีคำสั่งให้กองทัพจีนถอนทหารจากแนวรบ ระหว่างเดินทางกลับชายแดนจีน กองทัพปลดปล่อยจีนได้ทำลายสาธารณูปโภคและบ้านในท้องถิ่นทั้งหมด รวมทั้งแหล่งพลังงานนอกจากนี้ยังได้ปล้นชิงอุปกรณ์ทำมาหากิน เครื่องจักรและทรัพยากรที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่นปศุสัตว์ ผลิตผลการเกษตร และเครื่องจักรอุตสาหกรรมจนมีผลให้เศรษฐกิจตอนเหนือสุดของเวียดนามต้องอ่อนแอลงไปอย่างรุนแรง
ผลจากสงคราม (เอาจริงๆ​ เวียดนาม​เศรษฐกิจ​เสียหายมากกว่า)​ เเล้วเวียดนาม​แม้จะเจ็บหนัก​ เเต่ยังมีอำนาจ​เเละกองกำลังอยู่ในลาวกับกัมพูชา​ รวมถึงตามชายเเดนไทย-กัมพูชา​เหมือนเดิม​ พอเสร็จศึก​สงคราม​จีน-เวียดนาม​ เมื่อจีนถอนทัพกลับ​ สุดท้าย​ทำให้ไทยกับเขมรเเดงต้องปะทะกับเวียตนามเรื่อยๆ​ เป็นเวลาเกือบ 10 (ตั้งแต่​ ปี 1979​ ถึง​ ปี​ 1989)​
การที่จีนต้องถอนกองทัพออกจากเวียดนามตอนเหนือจนดูเหมือนว่าจีนจะไม่บรรลุเป้าหมายในสงครามครั้งนี้ เพราะเสร็จศึกแล้วเวียดนามยังคงยึดครองกัมพูชาอยู่อีกเป็น 10 ปี แต่ก็ทำเวียดนามต้องส่งกำลังทหารตรึงภาคเหนือของประเทศซึ่งติดกับจีน การมุ่งหน้าสู่เอเชียอาคเนย์จึงอ่อนลงไปจีนเพิ่มบารมีในการเมืองระดับนานาชาติ สามารถรวมพลังฝ่ายต่าง ๆ ของกัมพูชาเช่นสมเด็จพระเจ้านโรดมสีหนุ ซอนซานผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และผู้นำเขมรแดง ที่ต่อต้านรัฐบาลเฮงสัมริน – ฮุนเซ็น อันเป็นพันธมิตรของเวียดนาม
การเมืองระหว่างประเทศในอาเซียน ทำให้ไทยได้ประโยชน์ เกิดการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในการจะช่วยปกป้องประเทศต่าง ๆ จากความแข็งกร้าวของเวียดนาม ตรงข้ามกับเวียดนามที่ต้องโดดเดี่ยวมีเพียงโซเวียตที่พึ่งพิงอยู่ตลอด นอกจากนี้การที่จีนเปิดศึกกับเวียดนาม ทำให้เวียดนามพบว่าตนไม่สามารถเป็นฝ่ายรุกแต่เพียงผู้เดียว
ตรงกันข้ามกับเวียดนามที่เริ่มประสบกับปัญหาเศรษฐกิจจากภาวะหลังสงครามและการรบยืดเยื้อนอกประเทศ จำเป็นต้องหันไปหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการทำสงคราม นั่นคือการปฏิรูป ดอยมอยและในที่สุดเมื่อปี 1987 เวียดนามจะถอนกำลังทหารออกจากกัมพูชา ไทยเป็นชาติแรก ๆ ที่ตอบรับในเดือนกันยายน - ธันวาคม ในปี 1989 เวียดนามถอนกำลังทหารออกจากกัมพูชา ก้าวเข้าสู่ยุค “เปลี่ยนสนามรบมาเป็นสนามการค้า” โดยแท้จริง
เรื่องนี้ถ้าอ่านบทความภาษาไทยส่วนใหญ่จะเจอะเรื่องที่มีคนอ้างว่า ฝ่ายไทยไปขอให้จีนช่วย บุกเวียดนาม เพื่อให้เวียดนามถอยกลับไปป้องกันบ้านตัวเอง โดยส่วนตัวผมเชื่อ Time line และข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่มีซึ่งหาแทบตายแต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าไทย เกี่ยวข้องกับนโยบายบุกเวียดนามของจีนครับดังนั้นในเรื่องที่มีการไปโม้เพื่อผลทางการเมืองที่ว่า จีนบุกเวียดนามเพื่อช่วยไทยโดยตรง
และเป็นผลจากการเยือนของคณะนายทหารไทย ผมเลยไม่ค่อยเชื่อและเขียนถึงนะครับ แต่ในข้อเท็จจริงแล้วไทยได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมในการบุกครั้งนั้น และได้รับผลประโยชน์จากการขัดแย้งชายแดนจีน เวียดนามต่อจากนั้นอีก 10 ปี แต่นั่นเป็นเพราะ จีนเค้ารักษาผลประโยชน์และความมั่นคงของเค้าเองครับ
** Ref
1. CHINA'S WAR AGAINST VIETNAM,1979: A MILITARY ANALYSIS King C. Chen
2. ความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม ก่อนและหลัง สงครามสั่งสอน 1979 โดยธนวรรณ เหล็กกล้า
3. สงครามจีน-เวียดนาม โดย วารินทร์ สินสูงสุด
โฆษณา