2 มี.ค. เวลา 04:52 • ความคิดเห็น

ไม่คิดว่าหนังสือธรรมะจะช่วยให้ผมทำงานดีขึ้นได้ขนาดนี้

ปีที่แล้ว นอกจากหนังสือ Fluke ของ Brian Klaas แล้ว หนังสืออีกเล่มที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากที่สุดคือหนังสือ "พุทธธรรม" ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ยอมรับตามตรงว่าผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ เพราะใช้วิธีเปิดอ่านแบบสุ่ม ไม่ได้อ่านจากหน้าแรกไปถึงหน้าสุดท้าย
แต่ช่วงตอนหนึ่งซึ่งมีผลต่อมุมมองและวิธีการทำงานของผมมาก คือ "บทเพิ่มเติม:: เรื่องเหตุปัจจัย ในปฏิจจสมุปบาท และกรรม"
ฟังชื่ออาจดูเหมือนเป็นธรรมะจ๋า แต่อยากให้ลองเปิดใจอ่านต่อ เพราะผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
โดยผมขอยกถ้อยคำบางส่วนจากในหนังสือมาไว้ตรงนี้ โดยขอออกตัวว่าแม้จะตัดทอนแล้วแต่ก็ยังยาวอยู่ดีสำหรับการอ่านบนมือถือ ถ้าใครอยากปริ๊นท์ออกมาอ่าน ก็เข้าเว็บเสิร์ชคำว่า anontawong ก็จะเจอบทความนี้ครับ
-----
ความหมายของ เหตุ และ ปัจจัย
ในที่ทั่วไป หรือเมื่อใช้ตามปกติ คำว่า “เหตุ” กับ “ปัจจัย” ถือว่าใช้แทนกันได้
แต่ในความหมายที่เคร่งครัด ท่านใช้ “ปัจจัย” ในความหมายที่กว้าง แยกเป็นปัจจัยต่างๆ ได้หลายประเภท ส่วนคำว่า “เหตุ” เป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง ซึ่งมีความหมายจำกัดเฉพาะ กล่าวคือ
1
“ปัจจัย” หมายถึง สภาวะที่เอื้อ เกื้อหนุน ค้ำจุน เปิดโอกาส เป็นที่อาศัย เป็นองค์ประกอบร่วม หรือเป็นเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะให้สิ่งนั้นๆ เกิดมีขึ้น ดำเนินต่อไป หรือเจริญงอกงาม
ส่วนคำว่า “เหตุ” หมายถึง ปัจจัยจำเพาะ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดผลนั้นๆ
“เหตุ” มีลักษณะที่พึงสังเกต นอกจากเป็นปัจจัยเฉพาะ และเป็นตัวก่อให้เกิดผลแล้ว ก็มีภาวะตรงกับผล (สภาวะ) และเกิดสืบทอดลำดับ คือตามลำดับก่อนหลังด้วย
ส่วน “ปัจจัย” มีลักษณะเป็นสาธารณะ เป็นตัวเกื้อหนุนหรือเป็นเงื่อนไข เป็นต้น อย่างที่กล่าวแล้ว อีกทั้งมีภาวะต่าง (ปรภาวะ) และไม่เกี่ยวกับลำดับ (อาจเกิดก่อน หลัง พร้อมกัน ร่วมกัน หรือต้องแยกกัน-ไม่ร่วมกัน ก็ได้)
ตัวอย่างเช่น เม็ดมะม่วงเป็น “เหตุ” ให้เกิดต้นมะม่วง และพร้อมกันนั้น ดิน น้ำ อุณหภูมิ โอชา (ปุ๋ย) เป็นต้น ก็เป็น “ปัจจัย” ให้ต้นมะม่วงนั้นเกิดขึ้นมา
มีเฉพาะเหตุคือเม็ดมะม่วง แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องไม่พร้อม หรือไม่อำนวย ผลคือต้นมะม่วงก็ไม่เกิดขึ้น
ตามหลักธรรม ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ หลากหลายประชุมกันพรั่งพร้อม (ปัจจัยสามัคคี)
-----
ผลหลากหลาย จากปัจจัยอเนก
ตามหลักแห่งความเป็นไปในระบบสัมพันธ์นี้ ยังมีข้อควรทราบแฝงอยู่อีก โดยเฉพาะ
• ขณะที่เราเพ่งดูเฉพาะผลอย่างหนึ่ง ว่าเกิดจากปัจจัยหลากหลายพรั่งพร้อมนั้น ต้องทราบด้วยว่า ที่แท้นั้น ต้องมองให้ครบทั้งสองด้าน คือ
๑. ผลแต่ละอย่าง เกิดโดยอาศัยปัจจัยหลายอย่าง
๒. ปัจจัย (ที่ร่วมกันให้เกิดผลอย่างหนึ่งนั้น) แต่ละอย่าง หนุนให้เกิดผลหลายอย่าง
ในธรรมชาติที่เป็นจริงนั้น ความสัมพันธ์และประสานส่งผลต่อกันระหว่างปัจจัยทั้งหลาย มีความละเอียดซับซ้อนมาก จนต้องพูดรวมๆ ว่า “ผลหลากหลาย เกิดจากเหตุ (ปัจจัย) หลากหลาย” หรือ “ผลอเนก เกิดจากเหตุอเนก” เช่น จากปัจจัยหลากหลาย มีเมล็ดพืช ดิน น้ำ อุณหภูมิ เป็นต้น ปรากฏผลอเนก มีต้นไม้ พร้อมทั้งรูป สี กลิ่น เป็นต้น
• ย้ำว่า ความเป็นเหตุปัจจัยนั้น มิใช่มีเพียงการเกิดก่อน-หลังตามลำดับกาละหรือเทศะเท่านั้น แต่มีหลายแบบ รวมทั้งเกิดพร้อมกัน หรือต้องไม่เกิดด้วยกัน ดังกล่าวแล้ว
เมื่อเห็นสิ่งหรือปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง เช่นตัวหนังสือบนกระดานป้ายแล้ว มองดูโดยพินิจ ก็จะเห็นว่าที่ตัวหนังสือตัวเดียวนั้น มีเหตุปัจจัยแบบต่างๆ ประชุมกันอยู่มากมาย เช่น คนเขียน (เจตนา+การเขียน) ชอล์ก แผ่นป้าย สีที่ตัดกัน ความชื้น เป็นต้น แล้วหัดจำแนกว่าเป็นปัจจัยแบบไหนๆ
• ขอให้ดูตัวอย่างคำอธิบายของท่านสักตอนหนึ่งว่า
"แท้จริงนั้น จากเหตุเดียว ในกรณีนี้ จะมีผลหนึ่งเดียว ก็หาไม่ (หรือ) จะมีผลอเนก ก็หาไม่ (หรือ) จะมีผลเดียวจากเหตุอเนก ก็หาไม่; แต่ย่อมมีผลอเนก จากเหตุอันอเนก"
หลักความจริงนี้ปฏิเสธลัทธิเหตุเดียว ที่เรียกว่า “เอกการณวาท” ซึ่งถือว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากต้นเหตุอย่างเดียว
แม้แต่ในสมัยปัจจุบัน คนก็ยังติดอยู่กับลัทธิเหตุเดียวผลเดียว ดังปรากฏชัดในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มุ่งผลเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วศึกษาและนำความรู้ความเข้าใจในเหตุปัจจัยมาประยุกต์ให้เกิดผลที่ต้องการ แต่เพราะมองอยู่แค่ผลเป้าหมาย ไม่ได้มองผลหลากหลายที่เกิดจากปัจจัยอเนกให้ทั่วถึง (และยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะมองเห็นอย่างนั้นด้วย) จึงปรากฏบ่อยๆ ว่า หลังจากทำผลเป้าหมายสำเร็จผ่านไป บางที ๒๐–๓๐ ปี จึงรู้ตัวว่า ผลร้ายที่พ่วงมากระทบหมู่มนุษย์อย่างรุนแรง จนกลายเป็นได้ไม่เท่าเสีย
2
ในการดำเนินชีวิตของตน ความเข้าใจหลัก “ผลหลากหลาย จากปัจจัยอเนก” จะช่วยให้จัดการกับชีวิตของตน ให้พัฒนาทั้งภายใน และดำเนินไปในโลกอย่างสำเร็จผลดี
-----
ทำเหตุปัจจัยให้ครบที่จะให้เกิดผลที่ต้องการ
ตามหลักความพรั่งพร้อมของปัจจัย อะไรจะปรากฏเป็นผลขึ้น ต้องมีปัจจัยพรั่งพร้อม ตรงนี้จะช่วยให้ไม่ไปติดในลัทธิเหตุเดียวผลเดียว
หลักหรือกฎไม่ได้บอกว่า เมื่อเอาเม็ดมะม่วงไปปลูกแล้ว ต้นมะม่วงจะต้องงอกขึ้นมา ท่านพูดแต่เพียงว่า จากเม็ดมะม่วง ต้นไม้ที่จะงอกขึ้นมา ก็เป็นมะม่วง นี้คือ เหตุ → ผล หรือ ปัจจัยตัวตรงสภาวะ → ผล
การที่เม็ดมะม่วงจะงอกขึ้นมาเป็นต้นมะม่วงนั้น ไม่ใช่มีแต่เม็ดมะม่วงอย่างเดียวแล้วจะได้ต้นมะม่วง ต้องมีดิน มีปุ๋ยในดิน มีน้ำ มีแก๊ส (เช่น ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์) มีอุณหภูมิพอเหมาะ เป็นต้น พูดสั้นๆ ว่า เมื่อปัจจัยพรั่งพร้อมแล้ว ต้นมะม่วงจึงจะงอกขึ้นมาได้
นอกจากผลที่เรามองจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่างพรั่งพร้อมแล้ว ปัจจัยแต่ละอย่างที่มาพรั่งพร้อมนั้น ก็สัมพันธ์ไปสู่ผลอย่างอื่นที่เราไม่ได้มองขณะนั้นด้วย
ตอนนี้ก็มองดูว่ามีปัจจัยตัวไหนบ้างที่จะต้องทำให้ครบที่จะเกิดผลนี้ ต่อจากนั้น เมื่อยังต้องการผลดีด้านไหนอีก เช่นในทางสังคม เป็นต้น ก็พิจารณาให้ครบ แล้วทำกรรมดีให้ได้เหตุปัจจัยพรั่งพร้อมที่จะเกิดผลดีตามที่ต้องการนั้น
-----
ฝึกฝนปรับปรุงตนให้ทำกรรม (ได้ผล) ดียิ่งขึ้นไป
ถ้าผลดีในความหมายหรือในแง่ที่เราต้องการไม่ออกมา ก็วิเคราะห์สืบสาวว่า ทำกรรมนั้นแล้ว แต่สำหรับผลดีแง่นี้ๆ ปัจจัยอะไรบ้างขาดไป หรือยังบกพร่องส่วนไหน จะได้แก้ไขปรับปรุง เพื่อว่าคราวต่อไปจะได้ทำให้ตรง ให้ถูกแง่ ให้ครบ
ยกตัวอย่าง เช่น นายชูกิจได้ยินข่าวสารจากวิทยุ พูดถึงปัญหาของบ้านเมือง ที่ว่าป่าลดน้อยลงจนน่ากลัว จะต้องช่วยกันปลูกต้นไม้ให้มากๆ และมีข่าวด้วยว่า บางแห่งคนมากมายช่วยกันปลูกต้นไม้ มีการนำมายกย่อง บางทีมีการให้รางวัลด้วย
นายชูกิจได้ยินได้ฟังข่าวแล้ว ก็เกิดศรัทธา เที่ยวดูสถานที่เหมาะๆ ใกล้หมู่บ้านของเขา แล้วหาต้นไม้เหมาะๆ มาปลูก ต้นไม้ก็ขึ้นงอกงามดี เขาปลูกไปได้หลายต้น
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เขามานึกดูว่า เขาทำความดีนี้มาก็นานแล้ว ไม่เห็นมีใครสนใจ ก็เลยชักจะท้อ และน้อยใจว่า “เราอุตส่าห์ทำดี เหนื่อยไปมากมาย ไม่เห็นได้ดีอะไร”
พอมองลึกลงไปในใจของคุณชูกิจ ปรากฏว่าเขาอยากได้ความนิยมยกย่อง และหวังจะได้รางวัลด้วย
เมื่อวิเคราะห์ตามหลักความสัมพันธ์สืบทอดเหตุปัจจัยสู่ผลต่างๆ ที่ตรงกัน ก็เห็นได้ว่า
• ผลตามกฎธรรมชาติ หรือผลตามธรรม ก็เกิดขึ้นแล้ว คือ เขาปลูกต้นไม้ เมื่อทำเหตุปัจจัยของมันครบ ต้นไม้ก็ขึ้นมา
• ผลตามธรรมแก่ตัวเขาเอง ที่เป็นผู้ทำการนั้น เขาก็ได้แล้ว เช่น เกิดและเพิ่มความรู้ความเข้าใจความชำนาญในเรื่องต้นไม้และการปลูกต้นไม้ ตลอดจนผลพ่วง เช่น ร่างกายแข็งแรง
• ผลตามธรรมแก่สังคม คือ ท้องถิ่นของเขา ตลอดถึงโลกมนุษย์ทั้งหมด ได้สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดีงามเพิ่มขึ้น
แต่ผลที่ตัวเขาว่า “ดี” ที่เขาไม่ได้ คือผลทางสังคม ได้แก่ เสียงยกย่อง และรางวัล หรือเงินทองของตอบแทน ซึ่งมิใช่เป็นผลที่ตรงตามเหตุปัจจัยของการปลูกต้นไม้
ถ้าคุณชูกิจต้องการผลทางสังคมที่ว่านี้ ก็ต้องดูและทำปัจจัยเหล่านั้นด้วย เริ่มตั้งแต่ดูว่า การทำความดีด้วยการปลูกต้นไม้นี้ เข้ากับกระแสนิยมของท้องถิ่นของตนเองหรือไม่ ถ้าจะให้ได้รับคำยกย่องและรางวัล จะต้องทำปัจจัยอะไรประกอบเพิ่มเข้ามากับการทำความดีคือการปลูกต้นไม้นั้น แล้วทำให้ครบ
-----
1
และนั่นคือเนื้อหาบางส่วนที่ผมยกมาจากหนังสือพุทธธรมครับ
คำถามถัดมาก็คือ แล้วมันช่วยให้เราทำงานดีขึ้นได้อย่างไร
อย่างแรก ผมคิดว่าเราอาจจะเคยชินกับวิธีคิดแบบ "ลัทธิเหตุเดียว" คือเหตุ 1 อย่าง นำไปสู่ผล 1 อย่าง เป็นความสัมพันธ์แบบ one to one เหมือนที่เราเรียนในคณิตศาสตร์ตอนมัธยมปลายว่า y เป็น function ของ x ยกตัวอย่างเช่น
y = x^2 + 2x + 1
มี x เป็น input มี y เป็น output
ดังนั้น ถ้าอยากได้ y ก็แค่ทำ x ให้ดีแล้ว y จะตามมาเอง
แต่ความเป็นจริงแล้ว การทำงานของโลกนี้คือ "ผลหลากหลาย จากปัจจัยอเนก" นั่นคือปัจจัยที่หลากหลาย นำไปสู่ผลที่หลากหลาย
y ไม่ได้เป็น function ของ x อย่างเดียว แต่เป็น function ของปัจจัยอีกมากมาย ทั้งในส่วนที่เราคุมได้และไม่ได้
และปัจจัยอันมากมาย ก็ไม่ได้นำไปสู่ y ตัวเดียวด้วย แต่นำไปสู่ output อีกมากมายที่เรามุ่งหวัง ที่เราไม่มุ่งหวัง และที่เราคาดไม่ถึง
มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบ one to one หรือ one to many แต่เป็นความสัมพันธ์แบบ many to many
เมื่อคำนึงได้เช่นนี้แล้ว ว่าผลหลากหลาย เกิดจากปัจจัยอเนก เราก็จะไม่ประมาทในการทำงาน
ผมใช้หลักคิดนี้ตอนที่ทำโปรเจ็กต์ย้ายออฟฟิศใหม่เมื่อปีที่แล้ว
บริษัทผมมีพนักงานอยู่พันกว่าคนในสามออฟิศ เราต้องย้ายทุกคนไปอยู่ที่เดียวกันที่โครงการ One Bangkok ตรงถ.วิทยุ มีเรื่องต้องคิดมากมาย ทั้งการก่อสร้างที่ต้องให้เสร็จทันเวลา การตรวจรับมอบ การเทสต์ดวงไฟและแอร์ การเช็คสัญญาณอินเทอร์เน็ต การเช็คการทำงานของอุปกรณ์ในห้องประชุม ฯลฯ
พอสถานที่พร้อมแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการสื่อสารกับพนักงาน ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง จะต้องเก็บของเมื่อไหร่ เดินทางอย่างไร จอดรถตรงไหน วันที่มาถึงวันแรกเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ช่วง 1 เดือนก่อนย้ายออฟฟิศผมมีประชุมกับทีมงานแทบทุกวัน และสิ่งหนึ่งที่ผมบอกทุกคน คือ
1. ให้ลิสต์รายการที่ต้องทำออกมาให้มากที่สุด ซึ่งควรจะมีไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยรายการ
2. ให้คิดว่าพนักงานจะมีคำถามอะไรบ้าง และเตรียมการสื่อสารและ FAQ ที่จะตอบคำถามพนักงานให้ได้มากที่สุด
3. ให้คิดว่าถ้าการย้ายออฟฟิศครั้งนี้มัน "พัง" จากเรื่องอะไรได้บ้าง เช่นอินเทอร์เน็ตช้า พนักงานเข้าตึกไม่ได้ โต๊ะทำงานไม่พอ แอร์ไม่เย็น ฯลฯ แล้วพยายามหาทางปิดความเสี่ยงเหล่านี้ และพร้อมตั้งรับปัญหาที่เราคาดไม่ถึง
ผลลัพธ์รวบยอดที่เราต้องการมีเพียงหนึ่งเดียว คือให้พนักงานพอใจกับการย้ายออฟฟิศครั้งนี้ แต่การจะไปถึงตรงนั้นได้ ต้องอาศัยปัจจัยเอนกอนันต์ ดังนั้น หน้าที่ของเราคือสร้างปัจจัยที่จะเอื้อให้เราไปสู่เป้าหมายนั้นได้มากที่สุด
ซึ่งการย้ายออฟฟิศก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และราบรื่นกว่าที่คาดไว้เสียอีก
ดังนั้น ในการทำโครงการใดๆ อย่าคิดแค่ว่าแค่ปลูกเม็ดมะม่วงก็จะได้ต้นมะม่วง เพราะเรามีแนวโน้มที่จะคิดแค่นี้ว่าทำแค่ x แล้วจะได้ y แล้วพอผลออกมาไม่เป็นดังหวังเราก็เฟลและมีแนวโน้มที่จะโทษนู่นโทษนี่
แต่ถ้าเรารู้ตัวว่า นอกจากปลูกด้วยเม็ดมะม่วงแล้ว เรายังต้องใช้ดินที่ดี ดูสภาพอากาศ รดน้ำใส่ปุ๋ย เราก็จะสามารถ "เพิ่มความน่าจะเป็น" ที่จะได้ต้นมะม่วงที่เติบโตและมีผลที่อร่อย
ทำเหตุปัจจัยให้ครบ แล้วจึงจะเกิดผลที่เราต้องการครับ
โฆษณา