3 มี.ค. เวลา 00:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เวียดนาม ตลาดเศรษฐกิจที่ "ไม่ได้" มีโอกาสให้ทุกคน

📌 อ่านฉบับเว็บที่: www.thaipbs.or.th/now/content/2398
ทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงเวียดนาม เราอาจนึกถึงเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นทุกปีเมื่อเทียบกับไทย แต่อีกด้านหนึ่ง มีธุรกิจท้องถิ่นและต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่ประสบความลำบาก จนบางรายต้องยอม “ยกธงขาว” ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
ปีที่แล้ว เวียดนามได้รับผลกระทบอย่างหนักจากพายุไต้ฝุ่นยางิ - ซึ่งถือเป็นพายุที่รุนแรงที่สุดของเอเชียในปี พ.ศ. 2567 – โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ แต่เศรษฐกิจนั้นกลับเติบโตขึ้นร้อยละ 7.09 ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเวียดนามมีมูลค่า 476,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งการลงทุนจากต่างชาติก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 คิดเป็นมูลค่า 25,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจของเวียดนามดีขึ้นมาจากกระแสการบริโภคทั่วโลกที่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าธุรกิจทุกภาคส่วนในเวียดนามจะสดใสไปเสียหมด สถาบันอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ Oxford Economics ได้กล่าวว่า แม้เวียดนามจะมีแนวโน้มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเติบโตขึ้นร้อยละ 6.5 ในปี พ.ศ. 2568 แต่ภาคธนาคารและภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ อีกทั้งสินเชื่อจะเติบโตต่ำกว่าแนวโน้มคาดการณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ร้อยละ 90 ของธุรกิจสตาร์ตอัพท้องถิ่นมักล้มเหลว ขณะที่ธุรกิจต่างชาติบางรายก็ยังเจาะตลาดเวียดนามไม่ได้แม้จะดำเนินงานมาหลายปี
แล้วปัจจัยใดบ้างที่พอจะอธิบายเบื้องหลังปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ในเวียดนามได้ ?
พนักงานธนาคาร VPBank สาขาหนึ่งในฮานอยกำลังขนเงินสด (ภาพจาก Nhac Nguyen/AFP)
ระบบพรรคเดียวกับการตัดสินใจแบบ “เบ็ดเสร็จ” ต่อชะตาเศรษฐกิจเวียดนาม
พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (CPV) เป็นพรรคเดียวที่ปกครองเวียดนาม มีหน้าที่วางนโยบายและตัดสินใจด้านบริหารประเทศเบ็ดเสร็จ เว็บไซต์รัฐบาลอังกฤษมองว่า เวียดนามเป็น “ประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมาก” การเติบโตทางเศรษฐกิจถือเป็นนโยบายหลักข้อหนึ่งที่พรรคฯ ให้ความสำคัญมาก และเคยตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนสูงในปี 2573 นี่จึงเป็นเหตุผลที่เวียดนามมีระบบเศรษฐกิจแบบ “เสรี” ถึงแม้การปกครองจะยังเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมพรรคเดียว
นายกฯ ฝั่ม มิญ จิ๊ญ กำลังพูดคุยกับนักวิชาการ King's College ในงาน World Economic Forum เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา (ภาพจาก Fabrice Coffrini/AFP)
ความเป็นคอมมิวนิสต์ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปสำหรับประเทศโลกเสรี/ประชาธิปไตยที่อยากจะเข้ามาลงทุนแลกเปลี่ยนกับเวียดนาม “อย่าลืมนะครับว่า เศรษฐกิจ [กับระบอบการปกครองในเวียดนาม] มันแยกกัน ระบบเศรษฐกิจเขาเสรีและเปิดกว้างมาก การลงทุนจากต่างประเทศ [โดยตรง] หรือ FDI [foreign direct investment] ที่เข้าไปในเวียดนามจึงเยอะมาก” วัชราทิตย์ เกษศรี ให้ความเห็นไว้ในรายการเศรษฐกิจติดบ้าน
วัชราทิตย์ยังเห็นว่า การเปิดกว้างทางเศรษฐกิจทำให้ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศประชาธิปไตยค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้น อันที่จริงนั้น เวียดนามได้ปฏิรูปกฎหมายการลงทุนครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2548 ก่อนที่จะเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) สองปีให้หลัง การแก้กฎหมายครั้งนี้ได้สร้างกฎหมายฉบับแรกที่รวมกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนทั้งจากต่างชาติและในประเทศไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังรับประกันความเท่าเทียมแก่เหล่านักลงทุนและสร้างบรรยากาศการลงทุนที่เป็นมิตร
ภาพของโรงงานของ Samsung ในจังหวัดบั๊กนิญ เมื่อปี 2024 Samsung ประกาศว่าจะลงทุนอีกนับพันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการผลิตจอ OLED ในเวียดนาม (ภาพจาก Nhac Nguyen/AFP)
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยเอื้ออีกแรงที่ทำให้เวียดนามเป็นที่สนใจของตลาดโลกในหลายปีให้หลัง แม้แต่จีนซึ่งเป็นฐานการผลิตใหญ่แห่งหนึ่งของโลกนั้นยังเข้ามาลงทุนด้านอุตสาหกรรมในเวียดนาม “แน่นอนว่า พอจีนเจอกำแพงด้านสงครามการค้า เขาก็ย้ายฐานการผลิตเผื่อให้เวียดนามผลิตสินค้าแบรนด์จีนและส่งออกในนามของเวียดนาม จีนก็จะไม่โดนกำแพงภาษีตรงนี้” วัชราทิตย์กล่าว
แต่เมื่อธุรกิจค้าขายทางอินเทอร์เน็ต (e-commerce) ของจีนจะไปบุกในตลาดเวียดนามนั้น ก็ถูกสกัดกั้นจากรัฐบาลเวียดนามที่มีอำนาจควบคุมการค้าอย่างเบ็ดเสร็จ
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทางการเวียดนามสั่งระงับไม่ให้ Temu และ Shein แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชของจีนเปิดบริการต่อ หลังจากที่บริษัทแม่ของแพลตฟอร์มทั้งสองพลาดเส้นตายวันลงทะเบียนธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังเกรงว่า สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศจะทะลักเข้ามามากเกินไปจนล้นตลาด จึงออกกฎหมายเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับบริษัทอีคอมเมิร์ชต่างชาติที่เข้ามาดำเนินงานในประเทศ รวมถึงได้พูดคุยเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีต่อสินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,300 บาท
แพลตฟอร์ม Temu และ Shein ที่ถูกจีนระงับ (ภาพจาก Manan Vatsyayana/AFP)
“ธุรกิจอาหาร” ปราการที่ “ฟาสต์ฟูด” เจาะไม่เข้าในเวียดนาม (?)
ขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ จากนานาประเทศกำลังหลั่งไหลเข้าไปในเวียดนาม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B: food and beverage) ดูจะเป็นวงการหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้ยากโดยเฉพาะ “ฟาสต์ฟูด (fast food)” สไตล์ตะวันตก เคยมีการประเมินในปี พ.ศ. 2561 ว่า ร้านฟาสต์ฟูดทั้งหมดในเวียดนามมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณร้อยละ 1 เท่านั้นในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม แม้จีดีพีของเวียดนามจะมาจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มถึงร้อยละ 15
ราคา ความรวดเร็ว และความเคยชินคือปัจจัยหลักที่ทำให้ฟาสต์ฟูดไม่ได้รับความนิยมเมื่อเทียบกับอาหารริมทางของเวียดนาม ตัวอย่างเช่น ขณะที่ข้าวกับไก่ย่างหนึ่งจานในร้านฟาสต์ฟูดเจ้าหนึ่งมีราคาราว 62 บาท เฝอชามหนึ่งที่ขายข้างทางอาจถูกกว่าครึ่งหนึ่ง ทั้งยังสะดวกและอาจเร็วกว่าการต่อคิวในร้านฟาสต์ฟูดด้วย อีกทั้งอาหารอย่างบั๋นหมี่ก็คล้ายคลึงกับแซนด์วิชอยู่แล้ว และทำจากขนมปังบาแกตต์อันเป็นผลจากอิทธิพลฝรั่งเศสในช่วงอาณานิคม
“ที่ฟาสต์ฟูดในสหรัฐฯ ได้รับความนิยมเป็นเพราะว่าคุณสามารถรับอาหารได้เลยทันที อาหารเวียดนามก็เป็นอย่างนั้น หากคุณไปตามร้านรวงบนท้องถนน ก็จะได้เฝอสักชามหรือบั๋นหมี่สักชิ้นหนึ่งซึ่งอาจใช้เวลาเร็วว่า McDonald’s เสียด้วยซ้ำ” เฮา ทราน (Hao Tran) ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Vietcetera ให้ความเห็นกับ CNBC
ฟาสต์ฟูดต่างชาติบางเจ้าพลาดเป้าในการขยายสาขาเนื่องจากประเมินศักยภาพของผู้ขายอาหารในท้องถิ่นต่ำไป McDonald’s และ Burger King เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายสาขาในเวียดนามไว้ 100 และ 60 แห่งตามลำดับ แต่ปัจจุบัน พบว่ามีร้าน McDonald’s เปิดบริการ 37 แห่ง และ Burger King เพียง 11 แห่งเท่านั้น
ภาพบรรยากาศวันเปิดร้าน McDonald's สาขาแรกในฮานอยเมื่อปี 2017 (ภาพจาก Hoang Dinh Nam/AFP)
ส่วนแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดต่างประเทศที่พอจะตีตลาดในเวียดนามได้อย่าง KFC นั้นใช้เวลา 7 ปีในการขยายสาขาจนแตะหลัก 10 หลังจากที่เปิดร้านแห่งแรกในปี พ.ศ. 1997 และทดลองออกอาหารแนวใหม่ที่เข้ากับวัฒนธรรมการกินดั้งเดิม เช่น ข้าวไก่ทอด และเบอร์เกอร์กุ้ง จนสามารถขยายสาขาในเวียดนามได้ 135 แห่งโดยประมาณ และ Lotteria ฟาสต์ฟูดจากเกาหลีใต้ ก็เป็นอีกเจ้าหนึ่งที่ได้รับความนิยมในเวียดนาม โดยมีสาขาทั้งสิ้น 210 แห่งใน 30 เมือง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับจำนวนผู้ประกอบการร้านอาหารข้างทางของคนท้องถิ่นที่มีมากกว่า 430,000 ราย
ไม่ใช่แค่เพียงแบรนด์ต่างชาติเท่านั้นที่ประสบปัญหา แบรนด์ฟาสต์ฟูดท้องถิ่นหลายรายก็ต้องปิดตัวเนื่องจากการดำเนินงานผิดพลาด ในปี พ.ศ. 2562 ร้าน Mon Hue กว่า 80 แห่งทั้งเวียดนามได้ปิดตัวกะทันหันโดยที่เจ้าของที่ดินและคู่ค้าไม่ได้รับค่าตอบแทน สาเหตุมาจากการขยายสาขาที่เร็วเกินไปจนทำให้บริษัทขาดทุนนับร้อยล้านบาท
อีกกรณีหนึ่งคือธุรกิจสตาร์ตอัพร้านกาแฟ The KAfe ที่ระดมทุนจากอังกฤษและฮ่องกงได้กว่า 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีร้านในเมืองสำคัญ ๆ 26 แห่ง แต่เมนูที่พิเศษไม่มากพอก็ทำให้ผู้บริโภคไม่สนใจ จนร้านในเครือ The KAfe ทั้งหมดต้องปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2560
“สตาร์ตอัพ” ยังโตลำบากในเวียดนาม
ร้านกาแฟ The KAfe เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของสตาร์ตอัพเวียดนามที่ไม่ประสบความสำเร็จ อันที่จริงแล้ว ทุกปี จะมีโครงการสตาร์ตอัพ (start-up) เกิดใหม่ในเวียดนามประมาณ 1,000 โครงการ แต่กว่าร้อยละ 90 นั้นประสบความล้มเหลว และร้อยละ 92 นั้นต้องล้มเลิกไปใน 3 ปีแรกของการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีการกล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่มีประสิทธิภาพการประยุกต์ใช้แผนธุรกิจได้ต่ำที่สุดประเทศหนึ่ง ทำให้เกิดความกังวลต่ออนาคตวงการสตาร์ตอัพในเวียดนาม แม้สถานการณ์เศรษฐกิจในภาพใหญ่จะเป็นบวกก็ตาม
ภาพร้าน The KAfe สาขาหนึ่งในอดีต (ภาพจาก Instagram: @thekafevn และ @khanhtete)
การขาดเงินทุน องค์ความรู้ทางธุรกิจ และทรัพยากรมนุษย์นั้น ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจสตาร์ตอัพเวียดนามยังต้องดิ้นรน “ธุรกิจเวียดนามกำลังเผชิญกับพายุลูกใหญ่ แม้เศรษฐกิจโลกจะส่งสัญญาณฟื้นตัว แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ” ดร.วู เทียน ล็อก (Dr. Vu Tien Loc) สมาชิกกรรมาธิการเศรษฐกิจ สภาแห่งชาติเวียดนาม ได้ให้ความเห็นกับ The Investor
อีกทั้งธุรกิจสตาร์ตอัพบางอย่าง เช่น ภาคการผลิต ต้องพึ่งพาทุนส่วนตัวมากกว่าทุนกู้ยืม แต่ต้องผลิตสินค้าออกมารอขาย ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ช้าและไม่มั่นคง “[สตาร์ตอัพ] หลายเจ้าขาดคำสั่งซื้อและเงินทุน และมีสินค้าคงค้างเพิ่มขึ้นและสภาพคล่องทางการเงินต่ำ”
บทความชิ้นหนึ่งจากวารสาร Journal of Positive School Psychology ได้เสนอข้อสรุปหนึ่งไว้ว่า ธุรกิจสตาร์ตอัพที่ได้สำรวจขาดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายที่ชัดเจนในการดำเนินงาน และผู้จัดการโครงการสตาร์ตอัพต่าง ๆ ก็ไม่มีแผนการจัดการอันเหมาะสมด้วย นอกจากนี้ สตาร์ตอัพหลายรายก็ขาดคนที่มีทักษะเหมาะสมกับงาน และไม่สามารถคัดเลือกคนที่ “เชื่อมั่น” ในตัวธุรกิจใหม่มากพอ ทำให้เจ้าของธุรกิจหลายรายต้องทำทุกอย่างเองในช่วงตั้งไข่ของสตาร์ตอัพ
เหงียน ฮวย ซวน ลัน (Nguyen Hoai Xuan Lan) ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้า CoolMate ในเวียดนาม ได้เล่าถึงความล้มเหลวในการพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัพก่อนหน้าของเธอที่เน้นขายกระเป๋าเป้และกระเป๋าสะพายคาดลำตัว
“ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับฉันเลยค่ะ แต่หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นว่าธุรกิจไม่ได้ดำเนินไปตามที่ได้วางแผนไว้ ยิ่งขายกระเป๋าได้มากเท่าไหร่ เรากลับขาดทุนมากขึ้นเท่านั้น เพราะต้นทุนต่อกระเป๋าใบหนึ่งนั้นสูงเกินไป” และเธอก็กล่าวกับ Vietcetera ต่อว่า การขาดความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อขายสินค้า ก็เป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจของเธอไม่โตอย่างที่ควร
เหงียน ฮวย ซวน ลัน ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ CoolMate (ภาพจาก LinkedIn: Xuan Lan Nguyen Hoai)
อย่างไรก็ตาม สตาร์ตอัพต่าง ๆ ยังพอมีลู่ทางในการทำให้ธุรกิจมั่นคงและเติบโตได้ หากรู้จักที่จะเรียนรู้ข้อผิดพลาดทั้งจากของตนเองและของคนอื่นอย่างที่เหงียนได้ทำ
“แม้ธุรกิจของเราจะไม่สร้างกำไร แต่เราก็ชี้จุดที่เราน่าจะต่อยอดได้ ณ ตอนนั้น แล้วเราก็ประยุกต์ใช้บทเรียนที่ได้รับกับธุรกิจใหม่ในอนาคต” เธอกล่าว และความผิดพลาดจากธุรกิจกระเป๋า ก็ทำให้เหงียนผลักดัน CoolMate สตาร์ตอัพตัวใหม่ในปี พ.ศ. 2562 จนกลายเป็นแบรนด์แฟชั่นพร้อมใส่ที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเวียดนาม กรณีของเหงียนสอดคล้องกับคำพูดของดร.วู ที่ว่า “ความท้าทายนั้นก็เป็นโอกาสครั้งใหญ่” ได้สำหรับธุรกิจต่าง ๆ ที่พร้อมจะเรียนรู้และปรับตัว
สิ่งที่เราอาจพอจะเรียนรู้ได้จากเวียดนามคือ การเมืองมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ แม้จะชักชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน แต่ทางการเวียดนามก็พร้อมแทรกแซงธุรกิจต่างประเทศทุกเมื่อ หากธุรกิจนั้นเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น
ขณะเดียวกัน ธุรกิจต่างชาติและสตาร์ตอัพท้องถิ่นบางรายต้องลองผิดลองถูกเป็นเวลานานนับปีก่อนที่ธุรกิจของตนนั้นจะมีที่ยืน ท้ายที่สุด ถึงแม้เศรษฐกิจและตลาดเวียดนามจะเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี แต่กรณีศึกษาบางชิ้นที่ได้ยกตัวอย่างในบทความชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสทางธุรกิจอันสดใสในเวียดนาม
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW: www.thaipbs.or.th/now
ภาพมุมสูงของเมืองหะล็องเมื่อปลายปี 2023 (ภาพจาก Nhac Nguyen/AFP)
โฆษณา