4 มี.ค. เวลา 05:12 • ประวัติศาสตร์

“ยุทธการแอดวา (Battle of Adwa)” เมื่อชาวเอธิโอเปียร่วมกันต่อต้านผู้ล่าอาณานิคมจากตะวันตก

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มหาอำนาจยุโรปได้แผ่ขยายอำนาจเข้ามาในแอฟริกา ยึดครองและกดขี่แต่ละชาติ
สำหรับชาติอย่าง “อิตาลี” ดินแดนที่อิตาลีหมายตาไว้คือ “เอธิโอเปีย”
แต่เมื่อกองทัพอิตาลีได้บุกเข้าโจมตีเอธิโอเปียในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) ในแถบเมืองแอดวา ก็ต้องพบกับการต่อต้านจากกองทัพเอธิโอเปีย
ผลออกมาว่าเอธิโอเปียชนะ และนี่เป็นไม่กี่ครั้งที่ชนพื้นเมืองสามารถเอาชนะเจ้าอาณานิคมได้ และเป็นแรงบันดาลใจต่อการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมในอีกหลายดินแดน
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
ในปีค.ศ.1885 (พ.ศ.2428) ลัทธิล่าอาณานิคมในแอฟริกากำลังถึงจุดพีค
ทั้งสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เบลเยี่ยม สเปน และโปรตุเกส ต่างเสาะแสวงหาดินแดนในแอฟริกาที่จะแผ่ขยายอำนาจเข้าไป โดยในช่วงพีคนี้ มีเพียง “ไลบีเรีย (Liberia)“ และ “เอธิโอเปีย (Ethiopia)” ที่ยังสามารถรักษาเอกราชของตนไว้ได้
ในเวลานั้น มหาอำนาจหน้าใหม่อย่างอิตาลี ได้เริ่มแผ่ขยายอำนาจของตนเข้ามาในแอฟริกา โดยได้เข้ายึดครองเมืองท่าอย่างเมืองมาสซาวา ก่อนจะขยายอำนาจเข้าไปตลอดแนวจะงอยแอฟริกา และก่อตั้ง ”อิตาเลียนเอริเทรีย (Italian Eritrea)“ ซึ่งเป็นอาณานิคมของอิตาลีโดยตรง
ในปีค.ศ.1889 (พ.ศ.2432) อิตาลีได้ลงนามในสนธิสัญญากับ “จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 (Menelik II)” จักรพรรดิแห่งเอธิโอเปีย ซึ่งทรงยินยอมให้อิตาลียึดครองเอริเทรีย แลกกับการที่อิตาลีจะให้กู้เงินและให้ยืมกำลังทหาร
แต่ภายหลังก็เกิดความขัดแย้งระหว่างอิตาลีกับจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ทำให้สนธิสัญญานี้ไม่อาจนำมาซึ่งสันติภาพได้
จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 (Menelik II)
จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ทรงอ้างพระองค์ว่าเป็นสายพระโลหิตของกษัตริย์ในตำนานอย่าง “พระเจ้าโซโลมอน (Solomon)” และพระมเหสีของพระองค์ก็คือ “พระนางเทย์ตูเบทูล (Taytu Betul)” ต่างก็เป็นศัตรูกับลัทธิล่าอาณานิคมจากยุโรป
ทั้งสองพระองค์นี้ไม่ยอมอยู่เฉย และตั้งพระทัยจะปกป้องอำนาจอธิปไตยของเอธิโอเปีย
สิ่งแรกที่ทรงทำ นั่นคือจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ทรงจัดแคมเปญประชาสัมพันธ์ประเทศ ให้เป็นที่รู้จักของนานาอารยประเทศ ทำให้ได้รับความช่วยเหลือจากชาติยุโรปหลายๆ ชาติ
พระนางเทย์ตูเบทูล (Taytu Betul)
“อัลเฟรด อิล์ก (Alfred Ilg)” วิศวกรชาวสวิสส์ ก็ได้ช่วยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเอธิโอเปียให้มีความทันสมัย และในช่วงที่อิล์กเดินทางไปยุโรป อิล์กก็ได้โปรโมทเอธิโอเปียในฐานะของ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งแอฟริกา”
ชาวยุโรปคนอื่นๆ ก็ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับราชสำนักเอธิโอเปีย บางครั้งก็กล่าวถึงจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ว่าเป็น “กษัตริย์ชาวคริสต์แห่งแอฟริกา“ ทำให้จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ทรงเป็นชาวแอฟริกาที่ชาวยุโรปชื่นชมและยอมรับ
ที่ผ่านมาในช่วงที่จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ขึ้นสู่อำนาจ พระองค์ทรงบดขยี้ชนเผ่าศัตรู และยังจับคนเป็นทาส รวมถึงทำลายสุเหร่ามากมาย
อัลเฟรด อิล์ก (Alfred Ilg)
แต่ในเมื่อเวลานี้อิตาลีกำลังเป็นภัยคุกคามใหญ่ จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ก็สามารถรวบรวมชนเผ่าต่างๆ ให้เชื่อฟังและอ่อนน้อมต่อพระองค์ โดยเมื่อพระองค์ทรงเรียกระดมกำลังคนในเดือนกันยายน ค.ศ.1895 (พ.ศ.2538) ปรากฎว่าพระองค์สามารถระดมพลได้กว่า 80,000-120,000 นาย ซึ่งกำลังพลเหล่านี้ก็มาจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วเอธิโอเปียและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
ทางด้านอิตาลี ก็ได้เดินทัพเข้ามาใกล้เมืองหลวงของเอธิโอเปีย และจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ก็ทรงนำทัพไปเป็นระยะทางเกือบ 970 กิโลเมตรขึ้นเหนือ
ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) และมกราคม ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) กองทัพเอธิโอเปียได้ทำลายกองทหารอิตาลีในแถบอัมบาอลากี ก่อนจะทำการปิดล้อมป้อมปราการอิตาลีในเมเคเล ทำให้กองทัพอิตาลีซึ่งขาดน้ำ ไม่สามารถเข้าไปยังแหล่งน้ำได้ ต้องยอมแพ้
กองทัพอิตาลีซึ่งขาดทั้งเสบียงอาหารและน้ำดื่ม อีกทั้งยังไม่มีแผนที่ ทำให้แม่ทัพใหญ่ฝ่ายอิตาลีอย่าง “โอเรสต์ บาราเตียรี (Oreste Baratieri)“ คิดจะถอยทัพกลับไปเอริเทรีย
แต่ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) บาราเตียรีก็ได้รับโทรเลขจาก “ฟรานเชสโก คริสปี (Francesco Crispi)“ นายกรัฐมนตรีอิตาลี สั่งให้กองทัพอิตาลีสู้ต่อไป
บาราเตียรีซึ่งก่อนหน้านี้เคยตั้งมั่นว่าจะจับจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ใส่กรงและพากลับไปอิตาลี จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะให้กองทหารบางส่วนเดินทัพต่อไป
ฟรานเชสโก คริสปี (Francesco Crispi)
และเมื่อการสู้รบเกิดขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) กองทัพอิตาลีก็ต้องพบว่าตนนั้นด้อยกว่าในทุกด้าน การบริหารจัดการก็แย่ กำลังคนก็น้อยกว่า อีกทั้งยังอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เลวร้าย
ผลปรากฎว่ากองทัพอิตาลีนั้นแพ้อย่างยับเยิน ต้องรีบถอยทัพ และกองทัพเอธิโอเปียก็จับเชลยอิตาลีได้กว่า 3,000 คน
ชัยชนะนี้ต้องยกเครดิตให้สตรีด้วยเช่นกัน โดยสตรีในกองทัพช่วยทำหน้าที่ต่างๆ ทั้งเป็นพยาบาล คนส่งน้ำ คนดูแลนักโทษ และช่วยเสริมสร้างขวัญกำลังใจในกองทัพ
แม้แต่พระนางเทย์ตูเบทูล ก็ทรงบัญชาการทัพส่วนพระองค์ด้วยองค์เอง
หลังจากพ่ายแพ้ในสงคราม รัฐบาลของคริสปีก็ล่มสลาย ส่วนบาราเตียรีก็ถูกจับกุมและนำตัวขึ้นพิจารณาคดี และอิตาลีก็ต้องให้การรับรองเอกราชของเอธิโอเปีย เช่นเดียวกับมหาอำนาจยุโรปรายอื่นๆ
จากชัยชนะของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ทำให้มุมมองของชาวยุโรปที่มีต่อแอฟริกานั้นเปลี่ยนแปลงไป
ที่ผ่านมา แอฟริกาคือบ้านป่าเมืองเถื่อนสำหรับชาวยุโรป คือดินแดนด้อยพัฒนา ที่ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องตกเป็นของยุโรป
แต่จากชัยชนะของเอธิโอเปีย ทำให้ชาติยุโรปเริ่มจะรู้สึกว่าจะประมาทไม่ได้ ซึ่งในภายหลัง เอธิโอเปียก็ตกอยู่ใต้อำนาจของอิตาลีจนได้ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ชัยชนะของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ก็เป็นรากฐานและแบบอย่างสำหรับชาติแอฟริกาอื่นๆ ในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
โฆษณา