Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
4 มี.ค. เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ROE ตัวเลขที่เรา ไม่ควรถูกหลอก
หนึ่งในอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญตัวหนึ่ง ที่นักลงทุนมักใช้ในการดูว่า บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรมากแค่ไหน จากเงินทุนที่ผู้ถือหุ้นลงทุนไป
คือ Return on Equity (ROE)
โดยทั่วไปเรามักได้ยินว่า
นักลงทุนควรหาบริษัทที่มีค่า ROE สูง
และหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีค่า ROE ต่ำ
ความเชื่อแบบนี้ ใช้ได้ทุกกรณีไหม ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ROE คือ อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเกิดจากกำไรสุทธิ หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น (สินทรัพย์ทั้งหมด - หนี้สินทั้งหมด) ซึ่งค่าที่ได้จะมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าตัวเลขนี้มาก แปลว่า บริษัทมีประสิทธิภาพในการทำกำไรมาก ฝ่ายบริหารเอาเงินทุนของผู้ถือหุ้นไปสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แล้วค่า ROE เท่าไร ถึงเรียกว่าดี ?
จริง ๆ แล้ว ROE ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม
โดยทั่วไป นักลงทุนมักมองหาบริษัทที่มี ROE มากกว่า 15-20%
และมักใช้ ROE เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
รวมถึงแนวโน้ม ROE ของบริษัทนั้น ๆ ว่ามั่นคง หรือดีขึ้นไหม
เพราะค่า ROE ที่สูงอย่างยั่งยืน จะทำให้เงินทุนของผู้ถือหุ้น งอกเงยไปเรื่อย ๆ แบบทบต้น
สมมติว่า มี 2 บริษัทที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่คือ บริษัท A และ บริษัท B ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
บริษัท A มีค่า ROE เท่ากับ 20%
ก็คือเงินทุนของผู้ถือหุ้น 100 บาท บริษัทสามารถเอาไปสร้างผลกำไรได้ 20 บาทต่อปี
ขณะที่บริษัท B มีค่า ROE เท่ากับ 10%
หรือเงินทุนของผู้ถือหุ้น 100 บาท บริษัทสามารถเอาไปสร้างผลกำไรได้ 10 บาทต่อปี
ดูแบบนี้ ทุกคนก็ต้องเลือกที่จะลงทุนในบริษัท A เพราะมีค่า ROE สูงกว่าบริษัท B เท่าตัว ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่มากกว่า
อย่างไรก็ตาม การดูเพียงค่า ROE ที่สูงอย่างเดียว อาจทำให้เราวิเคราะห์หรือตัดสินใจลงทุนผิดพลาดได้ เพราะเราต้องดูหนี้สินของบริษัทนั้นประกอบด้วย
เพราะบางบริษัทที่มีค่า ROE สูง ๆ นั้น อาจเกิดจากกิจการไปกู้หนี้สินมาก เพื่อเป็นเงินทุนในการดำเนินงาน
กรณีของบริษัท C และบริษัท D สมมติว่า
บริษัท C มีกำไร 10 ล้านบาท มีสินทรัพย์ 300 ล้านบาท มีหนี้สิน 200 ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้น จะมีค่า ROE เท่ากับ 10%
บริษัท D มีกำไร 10 ล้านบาท มีสินทรัพย์ 300 ล้านบาท มีหนี้สิน 100 ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้น 200 ล้านบาท ดังนั้น จะมีค่า ROE เท่ากับ 5%
ซึ่งการที่บริษัท D มีค่า ROE น้อยกว่า ไม่ได้หมายความว่า บริษัท D มีกำไรน้อยกว่า
แต่เพราะบริษัท C ใช้เงินทุนที่มาจากส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าบริษัท D และใช้หนี้สินมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลตอบแทน (Leverage) ทำให้ ROE ดูดีขึ้น
อย่างไรก็ดี การมีหนี้ที่มากเกินไป จะทำให้บริษัทมีภาระจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงทางการเงินสูงขึ้นด้วย
ดังนั้น ถ้าเราดูเฉพาะค่า ROE อย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ดูหนี้สินของบริษัทที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ ก็อาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดได้
เพราะบริษัทที่มีการกู้หนี้มาใช้ในกิจการสูง ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คิดก็จะดี แต่ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างไม่เป็นใจ ก็อาจส่งผลเสียหายได้ ถ้าเงินที่กู้มา ไม่สามารถนำไปก่อให้เกิดรายได้ที่สูงกว่าต้นทุนทางการเงินที่บริษัทไปกู้ยืมมา
1
ทำให้เวลาดู ROE เราต้องดูอัตราส่วนหรือปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ROA, D/E Ratio และ Interest Coverage Ratio
นอกจากนี้ ยังมีอีกกรณีที่ ROE ถึงขนาดติดลบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า บริษัทนั้นคือบริษัทที่แย่หรือไม่ควรไปลงทุน
และบริษัท McDonald's คือตัวอย่างของกรณีนี้
ปี 2015 ROE 64%
ปี 2020 ROE -60%
ปี 2024 ROE -217%
ถ้าดูแบบนี้ เราอาจสรุปได้ว่า McDonald's กำลังประสบปัญหากับผลประกอบการของบริษัท จนทำให้รายได้และกำไรของบริษัทลดลง
ปี 2022 รายได้ 792,300 ล้านบาท กำไร 211,100 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 871,300 ล้านบาท กำไร 289,400 ล้านบาท
ปี 2024 รายได้ 885,900 ล้านบาท กำไร 281,000 ล้านบาท
จะเห็นว่าในปีล่าสุด McDonald's ยังมีกำไรในระดับแสนล้านบาท แต่ค่า ROE ของบริษัทติดลบ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทติดลบ มาตั้งแต่ปี 2016
โดย ณ สิ้นปี 2024 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1,885,900 ล้านบาท
หนี้สินรวม 2,015,700 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น -129,800 ล้านบาท
ซึ่งสำหรับบริษัททั่วไป การที่ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบนั้น หมายความว่า บริษัทกำลังประสบปัญหาทางการเงิน และขาดสภาพคล่องอย่างหนัก รวมทั้งมีการขาดทุนสะสมสูง ซึ่งเป็นสัญญาณของการล้มละลายในอนาคต
แต่สำหรับ McDonald's ธุรกิจยังสร้างกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกได้ทุกปีอยู่
ปี 2022 มีกระแสเงินสดอิสระ 187,600 ล้านบาท
ปี 2023 มีกระแสเงินสดอิสระ 248,000 ล้านบาท
ปี 2024 มีกระแสเงินสดอิสระ 228,000 ล้านบาท
แต่ที่ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบนั้น สาเหตุหลักเกิดจากการซื้อหุ้นคืนทุกปีของบริษัท
ปี 2021 บริษัทซื้อหุ้นคืน 28,900 ล้านบาท
ปี 2022 บริษัทซื้อหุ้นคืน 133,200 ล้านบาท
ปี 2023 บริษัทซื้อหุ้นคืน 104,400 ล้านบาท
ซึ่งหุ้นที่ถูกซื้อคืนมานั้น ถ้าบริษัทไม่ทำการขายคืนไปในตลาด บริษัทก็จะตัดหุ้นนั้นออกไป หรือเรียกว่าการลดทุน ซึ่งส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง
1
โดยจำนวนหุ้นของบริษัท McDonald's ลดลงจาก 945 ล้านหุ้นในปี 2015 ลงมาเหลือ 722 ล้านหุ้นในปี 2024
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นติดลบ จนส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ของบริษัทนั้นติดลบ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการที่บริษัทขาดทุนแต่อย่างใด
1
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เวลาที่เรากำลังดูค่า ROE ของบริษัทที่จะลงทุน ก็ต้องคิดไว้เสมอว่า ค่า ROE ที่สูงอาจไม่ได้แปลว่า บริษัทนั้นดีเสมอไป
ในทางกลับกัน ค่า ROE ที่ต่ำหรือแม้แต่ติดลบ ก็ไม่ได้แปลว่า บริษัทนั้นแย่เสมอไปเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น การดู ROE ต้องดูตัวเลขอื่นประกอบด้วย รวมถึงข้อมูลเชิงคุณภาพต่าง ๆ
โดยนักลงทุนต้องวิเคราะห์เบื้องหลังของสิ่งที่ปรากฏขึ้น ว่าเกิดจากอะไร
เพราะทุกตัวเลข จะมีเรื่องราวซ่อนอยู่เสมอ..
หุ้น
การลงทุน
56 บันทึก
65
36
56
65
36
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย