3 มี.ค. เวลา 12:41 • ดนตรี เพลง

การเดินทางสู่มหากาพย์ Sci-fi ผ่านจุดเริ่มต้นของโปรเกรสซีฟร็อกยุคใหม่

อัลบั้มเปิดตัวของ Saga ในปี 1978 ถือเป็นก้าวสำคัญของวงดนตรีแคนาดากลุ่มนี้ ที่ได้นำเสนอซาวด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยการผสมผสานแนวดนตรีระหว่าง โปรเกรสซีฟร็อก (Progressive Rock), ฮาร์ดร็อก (Hard Rock) และนิวเวฟ (New Wave) ซึ่งเป็นแนวเพลงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปลายยุค 70s เข้าด้วยกัน วงสามารถสร้างสมดุลระหว่างความซับซ้อนทางดนตรี ความเข้าถึงง่ายของเมโลดี้และจังหวะที่ติดหู ทำให้เพลงของพวกเขาโดดเด่นทั้งในแง่ของเทคนิคและท่วงทำนองที่ไพเราะ
1
สิ่งที่ทำให้ Saga แตกต่างจากวงโปรเกรสซีฟร็อกร่วมยุค อย่าง Rush, Genesis, และ Yes คือ การเน้นใช้เอฟเฟ็กต์ของซินธิไซเซอร์ (Synthesizer) และคีย์บอร์ดเป็นองค์ประกอบหลัก ในการสร้างบรรยากาศที่ล้ำยุคและมีอารมณ์ของหนังวิทยาศาสตร์ไซไฟอย่างชัดเจน เพลงหลายเพลงในอัลบั้มนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของชุดเรื่องราวที่เรียกว่า "The Chapters" ซึ่งเป็นมหากาพย์แนวไซไฟที่ Saga บอกเล่าผ่านหลายอัลบั้มของพวกเขา ทำให้พวกเขามีสไตล์ในการเล่าเรื่องที่โดดเด่นและแตกต่างจากวงดนตรีร่วมยุควงอื่น ๆ
"Saga" เปิดตัวอัลบั้มด้วย "How Long?" ซึ่งเริ่มต้นด้วยซาวด์ซินธิไซเซอร์ที่ให้บรรยากาศลึกลับ ก่อนจะพุ่งเข้าสู่จังหวะหนักแน่นของฮาร์ดร็อก กีตาร์ของ Ian Crichton สร้างเมโลดี้ที่เฉียบคมและมีความเป็นโปรเกรสซีฟสูง โครงสร้างของเพลงลื่นไหลและเข้าถึงง่าย แม้จะมีความซับซ้อนทางดนตรี เนื้อหาเพลงพูดถึงความอดทนและการต่อสู้กับโชคชะตาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นแนวคิดที่พบได้บ่อยในดนตรีของ Saga
"Humble Stance" อีกหนึ่งในเพลงที่โด่งดังที่สุดของวง โดยมีอิทธิพลจากนิวเวฟอย่างชัดเจน เบสไลน์ของ Jim Crichton ทรงพลังและขับเคลื่อนเพลงไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น ขณะที่คีย์บอร์ดของ Jim Gilmour ช่วยเพิ่มบรรยากาศแนวไซไฟ เพลงนี้เป็นไอคอนของ Saga ด้วยท่อนคอรัสที่ติดหูและเนื้อหาที่เน้นความจำเป็นของการลดอัตตา และการหลุดพ้นจากพันธนาการทางความคิด และตัวตนเดิมของตัวเอง ซึ่งเป็นหนึ่งธีมที่สำคัญของโปรเกรสซีฟร็อก
ในทางกลับกัน "Climbing the Ladder" นำเสนอแนวฮาร์ดร็อกที่แข็งแกร่งที่สุดของอัลบั้ม ด้วยจังหวะที่รวดเร็วและการเรียบเรียงที่ตรงไปตรงมา แม้จะมีองค์ประกอบของโปรเกรสซีฟร็อกอยู่ในโครงสร้างเพลงบ้าง เนื้อหาเพลงนี้พูดถึงการไล่ตามความสำเร็จ ซึ่งอาจแลกมาด้วยการสูญเสียตัวตนระหว่างทาง
ก่อนจะเข้าสู่ส่วนหนึ่งของมหากาพย์ "The Chapters" ใน "Will It Be You? (Chapter Four)" ซึ่งเล่าเรื่องราวไซไฟเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติและปัญญาประดิษฐ์ เพลงนี้มีโครงสร้างเพลงที่ซับซ้อนและการเปลี่ยนจังหวะหลายครั้ง การผสมผสานระหว่างกีตาร์และซินธิไซเซอร์ลงตัวอย่างไร้ที่ติ ช่วยสร้างบรรยากาศไซไฟที่โดดเด่น ใจความหลักของเพลงตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติว่า "คุณจะเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่อยู่รอด หรือหนึ่งในผู้แพ้ที่ต้องสูญหายไปตลอดกาล?"
สมาชิกวงปี 1978 (ซ้ายไปขวา): Steve Negus, Jim Gilmour, Michael Sadler, Jim Crichton และ Ian Crichton
อีกหนึ่งเพลงที่มีอิทธิพลจากนิวเวฟอย่างชัดเจนคือ "Perfectionist" ด้วยจังหวะกลองที่เป็นเอกลักษณ์และซินธิไซเซอร์ที่สร้างบรรยากาศแบบโลกอนาคต เพลงนี้พูดถึงความหมกมุ่นของมนุษย์ที่ต้องการให้ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบ ซึ่งอาจกลายเป็นภาระที่หนักเกินไปในท้ายที่สุด
ตามด้วยจังหวะฮาร์ดร็อกที่หนักแน่น กีตาร์แสนดุดัน และเนื้อเพลงที่เสียดสีโลกธุรกิจและความโลภผ่าน "Give ’Em the Money" หนึ่งในเพลงที่มีพลังมากที่สุดของอัลบั้ม เพลงนี้มีกลิ่นอายของวงโปรเกรสซีฟฮาร์ดร็อกอย่าง Rush และ UFO ที่สามารถสัมผัสได้ผ่านโครงสร้างของเพลงได้อย่างชัดเจน
"Ice Nice" แตกต่างจากเพลงอื่นในอัลบั้ม ด้วยเมโลดี้ที่ล่องลอยและชวนฝัน ซินธิไซเซอร์และกีตาร์ทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ท่อนโซโลที่ดุดันผสมผสานกับทำนองที่ซับซ้อน ทำให้เกิดมนต์เสน่ห์แบบโปรเกรสซีฟร็อกยุค 70s เนื้อเพลงนี้ค่อนข้างคลุมเครือ อาจพูดถึงความเปราะบางของชีวิตและความสัมพันธ์ หรือกิเลสตัณหาในใจคนก็ได้ มีการอุปมาอุปไมยสิ่งเหล่านั้นแทนน้ำแข็งที่ดูแข็งแกร่งแต่ก็สามารถละลายได้ทุกเมื่อ
อัลบั้มปิดท้ายด้วย "Tired World (Chapter Six)" ซึ่งเป็นอีกบทหนึ่งใน "The Chapters" เพลงนี้มีองค์ประกอบแบบโปรเกรสซีฟมากที่สุดในอัลบั้ม ด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางดนตรีหลายครั้ง ท่อนอินสตรูเมนทัลที่ยาวและซับซ้อน ซินธิไซเซอร์ที่สร้างบรรยากาศของโลกอนาคตที่เสื่อมโทรม และสิ้นหวัง สื่อถึงความผิดพลาดของมนุษย์ ทั้งยังสะท้อนถึงแนวคิดดิสโทเปียในอนาคตได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านเนื้อเพลงที่ขัดเกลามาแล้วอย่างลงตัว
"The Chapters Live" (2005) ที่รวบรวมบทเพลง The Chapters ทั้ง 16 บท ผ่านการแสดงสด ถือเป็นหนึ่งในอัลบั้มโปรเกรสซีฟร็อกที่ไม่ควรพลาด
อัลบั้ม "Saga" ปี 1978 นี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมของวงจากแคนาดาวงนี้ โดยผสมผสานอิทธิพลจากวงดนตรีโปรเกรสซีฟร็อกยุค 70s อย่าง Genesis, Yes และ Rush ไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีองค์ประกอบของฮาร์ดร็อกและนิวเวฟที่กำลังเติบโตในยุคนั้นอย่างเด่นชัด
Saga ใช้องค์ประกอบของโปรเกรสซีฟร็อกแบบดั้งเดิม อย่าง การเปลี่ยนจังหวะที่ซับซ้อน การใช้ซินธิไซเซอร์ในการสร้างบรรยากาศ และการเล่าเรื่องราวผ่านบทเพลง อย่างที่เห็นใน “The Chapters” ที่เป็นธีมไซไฟต่อเนื่องกัน แม้อัลบั้มนี้จะมีซินธิไซเซอร์ที่โดดเด่น แต่กีตาร์ของ Ian Crichton ยังคงมีบทบาทสำคัญ ด้วยการเล่นที่มีพลังและเทคนิคชั้นสูง ที่ช่วยเสริมความเป็นฮาร์ดร็อกที่แข็งแกร่งให้กับอัลบั้ม
อิทธิพลของนิวเวฟก็ปรากฏให้เห็นในหลายเพลงเช่นกัน เพลงอย่าง “Humble Stance” และ “Perfectionist” มีจังหวะที่เร่งเร้า เมโลดี้ที่ติดหู และเสียงสังเคราะห์ที่แพรวพราว สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของดนตรีแนวนี้ที่กำลังพัฒนาขึ้นช่วงปลายยุค 70s
อัลบั้ม "Saga" ปี 1978 นี้ ถือเป็นตัวอย่างของการเปิดตัวที่น่าประทับใจและมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีโปรเกรสซีฟในยุค 80s โดยผสมผสานองค์ประกอบของโปรเกรสซีฟร็อก ฮาร์ดร็อก และนิวเวฟได้อย่างลงตัว แม้ว่าอัลบั้มนี้จะไม่ได้รับความนิยมในกระแสหลักทันที แต่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของซาวด์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Saga ซึ่งพัฒนาต่อมาในอัลบั้มหลังจากนี้ นานอีกหลายทศวรรษเลยทีเดียว
Cr. Allmusic / ProgArchives
---
โฆษณา