4 ชั่วโมงที่แล้ว • ข่าว

4 มี.ค. "วันโรคอ้วนโลก" พบคนไทยอ้วน 16 ล้านคน เด็กไทยอ้วนติดท็อป 3 อาเซียน

ชวน "ลดน้ำหนัก" ช่วยลดค่ารักษาประเทศ
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเปิดงานรณรงค์วันโรคอ้วนโลก (World Obesity Day 2025) เปลี่ยนระบบใหญ่ เพื่อชีวิตเล็กๆ ที่ดีขึ้น ลดเสี่ยงโรคอ้วน ห่างไกล NCDs (Changing Systems, Healthier Lives) ว่า วันที่ 4 มี.ค.ของทุกปีเป็น "วันโรคอ้วนโลก" โดยโรคอ้วนเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทุกกลุ่มวัย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs
"โรค NCDs จะเริ่มจากโรคอ้วน ตามด้วยความดัน เบาหวาน โรคตับโรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือดและสารพัด ซึ่งจากข้อมูลพบว่า เด็กอายุ 1-15 ปี เฉลี่ยพบอ้วน 10 กว่า% อายุ 15-59 ปี พบอ้วนประมาณ 42% หรือประมาณ 16 ล้านคน ยิ่งอายุมากยิ่งอ้วนขึ้น เราจึงต้องจัดการเรื่องโรคอ้วน เพราะถ้าเราหยุดโรคอ้วนได้โรค NCDs อื่นก็จะน้อยลง" นายสมศักดิ์กล่าว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
นายสมศักดิ์กล่าวว่า การรณรงค์ลดอ้วนได้ขอให้หน่วยงานราชการของ สธ.ทั้งหมดช่วยกัน และลงไปถึง อสม. ซึ่ง อสม.ก็ต้องได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น โดยการตอบแทนในเรื่องของการรณรงค์ ซึ่งพูดเรื่องตอบแทนได้เต็มปากเต็มคำ เพราะว่าเมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บมา รัฐบาลต้องจ่ายค่ายา ค่ารักษา และจ่ายมากขึ้น ตัวเลขจะหยุดยากมากถ้าไม่มีการป้องกันที่ดี เราจึงต้องลงทุนกับการป้องกัน โดยลงทุนจำนวนเล็กน้อยก็ได้ผลทำให้ลดเงินก้อนโต
"ในระบบมีการตรวจสุขภาพให้แก่ อสม.ระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็จะเพิ่มสิทธิเพิ่มขึ้น เพราะคำนวณดูแล้ว อสม.จะทำงานได้ผลประหยัดค่าใช้จ่ายมาก ผมกล้าที่จะประกาศว่าเราจะให้เรื่องการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีให้ครบถ้วนในส่วนอื่นๆ ด้วย" นายสมศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ สธ.ได้ขับเคลื่อนนโยบายคนไทยห่างไกลโรค NCDs มุ่งเน้นส่งเสริมวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ การป้องกันและควบคุมปัญหาโรคอ้วนนับเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยน 4 ระบบ ได้แก่
1) เปลี่ยนระบบอาหารในสถานศึกษา ให้มีคุณภาพมากขึ้น
2) เปลี่ยนการตลาดอาหารให้ลดหวาน มัน เค็ม
3) เปลี่ยนระบบบริการสุขภาพ มีการคัดกรองด้านโภชนาการ เพื่อให้ผู้ที่เป็นโรคอ้วนได้รับการส่งต่อและดูแลอย่างเหมาะสม
4) เปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพิ่มการมีกิจกรรมทางกาย เพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในทุกกลุ่มวัย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
"ต้องสร้างความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องและผู้ปกครองรับทราบเรื่องการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะ 3 หมวด คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน รวมถึงสังเกตตัวเองว่าสัดส่วนเกินหรือยัง ถ้าสัดส่วนเกินแล้วต้องช่วยกัน ก็จะช่วยประเทศ การลดน้ำหนักตัวเองช่วยประเทศโดยรวม" นายสมศักดิ์กล่าว
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยมีนโยบายส่งเสริมสุขภาพประชาชนลด NCDs ซึ่งการป้องกันและควบคุมปัญหาโรคอ้วนในเด็ก เป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรค NCDs ในอนาคต กรมอนามัยจึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายป้องกันและควบคุมปัญหาโรคอ้วนในเด็ก เพื่อให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน และขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
จากผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยในเด็กและเยาวชน พบว่า ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็ก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเด็กเล็กอายุ 1-5 ปี มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 10.6 และเด็กวัยเรียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็นร้อยละ 15.4 ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังมีเด็กเป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน รองจากมาเลเซียและบรูไน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์
ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ปี 2563 พบว่า ประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคอ้วนสูงถึงร้อยละ 42.4  ทั้งนี้ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร กิจกรรมทางกาย สภาพแวดล้อม และระบบบริการสุขภาพ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอ้วนและโรค NCDs
นอกจากนี้ Dr.Jos Vandelaer WHO Representative to Thailand ผู้แทน WHO ประจำประเทศไทย  ยังได้ชื่นชมที่ประเทศไทยมีนโยบายและแนวทางในการจัดการโรคอ้วน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โฆษณา