Deadly Drive: อัญมณีแห่งยุค City Pop ที่ควรค่าแก่การค้นพบของ Ginji Ito
ดนตรียุค 70s ของญี่ปุ่นถือเป็นช่วงเวลาทองของการทดลองและพัฒนาแนวเพลงที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การกำเนิดของแนว City Pop ที่ภายหลังกลายเป็นซาวด์ที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น
Ginji Ito เป็นศิลปินที่ให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเสียงร้องของเขา เขาไม่ได้ใช้พลังเสียงที่แข็งกร้าวหรือเทคนิคการร้องที่ซับซ้อน แต่กลับใช้ เสียงร้องที่อ่อนโยน ลื่นไหล และให้ความรู้สึกเหมือนการพูดคุยกับผู้ฟังมากกว่า ซึ่งเป็นสไตล์ที่เหมาะกับเพลงแนว City Pop เป็นอย่างมาก
จุดเด่นอีกอย่างคือ ซาวด์ของกีตาร์และเครื่องดนตรีไฟฟ้า ที่มีความอบอุ่นและลื่นไหลแบบ Jazz-Fusion หรือ Smooth Jazz ซึ่งแตกต่างจาก City Pop ทั่วไปที่มักจะเน้นไปทาง Soft Rock หรือ Funk มากกว่า
เปิดตัวอัลบั้มด้วย "風になれるなら" (Kaze Ni Narerunara – If I Can Be The Wind) บทเพลงที่ให้บรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงวง Sugar Babe วงในตำนานที่ Ginji Ito เคยร่วมงานด้วยกันกับ Tatsuro Yamashita และ Taeko Ohnuki
พร้อมเปลี่ยนบรรยากาศไปกับจังหวะ Salsa Dance อันเร้าใจท่ามกลางสายฝนโปรยปรายใน "あの時はどしゃぶり" (Anotoki Wa Doshaburi – There Was a Downpour Back Then) เพลงนี้อาจไม่ได้เป็นไฮไลต์ของอัลบั้ม แต่ก็เป็นเพลงที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับ "Deadly Drive" ได้เป็นอย่างดี ด้วยจังหวะ Salsa ที่สนุกสนาน ร้อนแรง และรวดเร็ว ควบคู่ไปกับเพอร์คัชชั่นและเสียงฟลูตที่เล่นในสไตล์ Latin Jazz ได้อย่างไร้ที่ติ ก่อนจะจบเพลงลงด้วยเสียงกีต้าร์แทนคำบอกลาโมเมนต์ที่น่าประทับใจของอัลบั้มนี้
ต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงบรรเลง Jazz-Funk ตามแบบฉบับ The Jazz Crusaders ใน "Sweet Daddy" เพลงนี้มีบรรยากาศที่สนุกและมีจังหวะที่ชวนขยับตัวมากที่สุดของอัลบั้มอีกด้วย การเรียบเรียงที่ได้รับอิทธิพลมาจาก The Crusaders ทำให้เพลงนี้เต็มไปด้วยการโซโล่กีตาร์ เปียโนและเครื่องเป่าที่สอดประสานกันอย่างลื่นไหลไร้รอยต่อ ราวกับเป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันเลยทีเดียว
ก่อนจะปิดอัลบั้มด้วยบรรยากาศของ Country Blues ไปกับ "Hobo’s Lullaby" บทเพลงบัลลาดที่ช่วยปิดฉากเรื่องราวอันหลากหลายนี้ ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลาย เสียงเปียโนที่ลื่นไหลและเสียงร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของ Ginji Ito ช่วยทำให้เพลงนี้เป็นบทสรุปที่สมบูรณ์แบบของอัลบั้มไปโดยปริยาย