6 มี.ค. เวลา 14:12 • ดนตรี เพลง

Deadly Drive: อัญมณีแห่งยุค City Pop ที่ควรค่าแก่การค้นพบของ Ginji Ito

ดนตรียุค 70s ของญี่ปุ่นถือเป็นช่วงเวลาทองของการทดลองและพัฒนาแนวเพลงที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การกำเนิดของแนว City Pop ที่ภายหลังกลายเป็นซาวด์ที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น
Ginji Ito อาจไม่ได้เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังเทียบเท่ากับ Tatsuro Yamashita, Taeko Ohnuki, Eiichi Ohtaki หรือ Makoto Matsushita แต่ผลงานของเขาโดยเฉพาะอัลบั้ม "Deadly Drive" ในปี 1977 คือสมบัติที่ซ่อนเร้นของยุคนั้น
แม้ว่าชื่ออัลบั้มและเพลงไตเติลจะสื่อถึงการขับเคลื่อนที่รวดเร็วและเต็มไปด้วยพลัง แต่โดยรวมแล้ว "Deadly Drive" กลับมีโทนที่นุ่มนวล ละมุน และฟังสบายเป็นหลัก มันเป็นอัลบั้มที่เดินทางผ่านความหลากหลายของแนวเพลง ตั้งแต่ Jazz-Fusion, Funk, Blues, Soft Rock, Bossa Nova ไปจนถึง Country ทำให้ผู้ฟังสามารถเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำซาก
แต่สิ่งที่ทำให้อัลบั้มนี้มีความพิเศษจริง ๆ คือ เสียงร้องของ Ginji Ito ซึ่งมีความอบอุ่น นุ่มนวล และฟังสบาย เขามีโทนเสียงที่คล้ายกับ "Michael Franks" นักร้อง Jazz-Pop ชื่อดังของอเมริกา แต่แตกต่างตรงที่อารมณ์และความรู้สึกในเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์มากกว่า ซึ่งถูกสื่อสารอารมณ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและมีความไพเราะตามแบบฉบับของตัวเอง
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเติมเต็มเสน่ห์ของอัลบั้มนี้คือ เสียงร้องประสานจาก Taeko Ohnuki ซึ่งทำให้หลายเพลงมีมิติและบรรยากาศที่ลึกซึ้งขึ้น คล้ายกับสิ่งที่เธอเคยทำไว้ในอัลบั้ม "Grey Skies" และ "Sunshower" ที่ออกมาในปีเดียวกัน
เสน่ห์ของเสียงร้องและการรังสรรค์บทเพลงที่ประณีต
Ginji Ito เป็นศิลปินที่ให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเสียงร้องของเขา เขาไม่ได้ใช้พลังเสียงที่แข็งกร้าวหรือเทคนิคการร้องที่ซับซ้อน แต่กลับใช้ เสียงร้องที่อ่อนโยน ลื่นไหล และให้ความรู้สึกเหมือนการพูดคุยกับผู้ฟังมากกว่า ซึ่งเป็นสไตล์ที่เหมาะกับเพลงแนว City Pop เป็นอย่างมาก
โปรดักชั่นของอัลบั้ม "Deadly Drive" ถือว่ายอดเยี่ยมสำหรับยุคนั้น การเรียบเรียงเครื่องดนตรี ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะการใช้ เปียโน, เครื่องเป่า, กีตาร์ไฟฟ้า และคอรัส ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้แต่ละเพลงมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
จุดเด่นอีกอย่างคือ ซาวด์ของกีตาร์และเครื่องดนตรีไฟฟ้า ที่มีความอบอุ่นและลื่นไหลแบบ Jazz-Fusion หรือ Smooth Jazz ซึ่งแตกต่างจาก City Pop ทั่วไปที่มักจะเน้นไปทาง Soft Rock หรือ Funk มากกว่า
Sugar Babe วงในตำนานที่มี Yamashita (คนที่ 2) และ Ohnuki (กลาง) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งวง
เดินทางผ่านบทเพลง: บรรยากาศที่หลากหลายแต่นุ่มลึกและกลมกล่อม
เปิดตัวอัลบั้มด้วย "風になれるなら" (Kaze Ni Narerunara – If I Can Be The Wind) บทเพลงที่ให้บรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงวง Sugar Babe วงในตำนานที่ Ginji Ito เคยร่วมงานด้วยกันกับ Tatsuro Yamashita และ Taeko Ohnuki
บรรยากาศของเพลงนี้มีความไพเราะและโรแมนติก การโปรดิวซ์มีความประณีตและชั้นเชิงมากขึ้นกว่ายุคของ Sugar Babe โดยใช้เสียงเครื่องสายและคอรัสจาก Taeko Ohnuki มาทำให้เพลงมีมิติที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ท่อนโซโล่ของแซกโซโฟนคู่กับจังหวะเครื่องเคาะที่ไพเราะกินใจ ช่วยเติมบรรยากาศของความเป็น Jazz อันแสนอบอุ่นและโรแมนติกยิ่งขึ้นไปอีก
เพลงไตเติลของอัลบั้มอย่าง "Deadly Drive" ก็ให้ความรู้สึกที่รวดเร็วและเร้าใจ และยังเป็นเพลงที่มีพลังมากที่สุดของอัลบั้มนี้ ด้วยจังหวะที่รวดเร็วตามสไตล์ Jazz-Rock ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก Jeff Beck มันเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกเหมือน ฉากไล่ล่ารถยนต์ในภาพยนตร์อย่าง The Blues Brothers หรือ Taxi Driver ด้วยเสียงกีตาร์ไฟฟ้าที่กรีดร้อง เสียงเบสที่หนักแน่น และการตีกลองที่ทรงพลัง
ก่อนจะเปลี่ยนโทนเพลงสู่โซลบัลลาดที่ละมุนดั่งสายฝนยามค่ำคืนไปกับ "こぬか雨" (Konuka Ame) หนึ่งในเพลงที่งดงามที่สุดของอัลบั้ม เพลงนี้มีซาวด์คล้ายกับเพลงบัลลาดแจ๊สของยุค 70s โดยเฉพาะริฟฟ์เปียโนที่อ่อนช้อยและสวยงาม การใช้เครื่องสายที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและชวนฝัน คล้อยไปกับเสียงเครื่องเป่าที่นุ่มนวล บางเบา และที่ขาดไม่ได้คือเสียงของ Ginji Ito ในเพลงนี้ที่อ่อนหวานละมุนเหมือนชื่อเพลง Konuka Ame ที่แปลว่า Drizzle (ฝนตกปรอยๆ) ไม่มีผิด
"King Kong" เพลงบรรเลงแนว Jazz-Rock ในจังหวะและทำนองตามแบบฉบับ Funk ที่สนุกและสดใหม่ เพลงนี้โดดเด่นด้วยการใช้ Talk Box ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้เสียงกีตาร์มีลักษณะเหมือนเสียงร้องของมนุษย์ ทำให้เพลงมีบรรยากาศที่แปลกใหม่และน่าสนใจ ชวนให้นึกถึงงานของ Herbie Hancock ช่วงกลางถึงปลายยุค 70s อย่าง "Doin' It" หรือ "Ready or Not"
Ginji Ito
พร้อมเปลี่ยนบรรยากาศไปกับจังหวะ Salsa Dance อันเร้าใจท่ามกลางสายฝนโปรยปรายใน "あの時はどしゃぶり" (Anotoki Wa Doshaburi – There Was a Downpour Back Then) เพลงนี้อาจไม่ได้เป็นไฮไลต์ของอัลบั้ม แต่ก็เป็นเพลงที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับ "Deadly Drive" ได้เป็นอย่างดี ด้วยจังหวะ Salsa ที่สนุกสนาน ร้อนแรง และรวดเร็ว ควบคู่ไปกับเพอร์คัชชั่นและเสียงฟลูตที่เล่นในสไตล์ Latin Jazz ได้อย่างไร้ที่ติ ก่อนจะจบเพลงลงด้วยเสียงกีต้าร์แทนคำบอกลาโมเมนต์ที่น่าประทับใจของอัลบั้มนี้
ต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงบรรเลง Jazz-Funk ตามแบบฉบับ The Jazz Crusaders ใน "Sweet Daddy" เพลงนี้มีบรรยากาศที่สนุกและมีจังหวะที่ชวนขยับตัวมากที่สุดของอัลบั้มอีกด้วย การเรียบเรียงที่ได้รับอิทธิพลมาจาก The Crusaders ทำให้เพลงนี้เต็มไปด้วยการโซโล่กีตาร์ เปียโนและเครื่องเป่าที่สอดประสานกันอย่างลื่นไหลไร้รอยต่อ ราวกับเป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันเลยทีเดียว
ก่อนจะปิดอัลบั้มด้วยบรรยากาศของ Country Blues ไปกับ "Hobo’s Lullaby" บทเพลงบัลลาดที่ช่วยปิดฉากเรื่องราวอันหลากหลายนี้ ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลาย เสียงเปียโนที่ลื่นไหลและเสียงร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของ Ginji Ito ช่วยทำให้เพลงนี้เป็นบทสรุปที่สมบูรณ์แบบของอัลบั้มไปโดยปริยาย
โดยรวมแล้ว แม้ว่า "Deadly Drive" จะไม่ใช่อัลบั้มที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์มากนัก แต่ก็ถือเป็นผลงานที่งดงามและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ มันเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของยุค 70s ที่หาได้ยากในปัจจุบัน หากคุณเป็นแฟนของ Sugar Babe, Taeko Ohnuki, Tatsuro Yamashita หรือ City Pop ยุคแรก ๆ อัลบั้มนี้จะเป็นหนึ่งในผลงานที่คุณไม่ควรพลาด และควรค่าแก่การค้นพบมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งเลยทีเดียว
Cr. RateYourMusic / Wikipedia
---
โฆษณา