7 มี.ค. เวลา 05:38 • ประวัติศาสตร์

“ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney)” ชายผู้บริจาคทรัพย์สิน 99.99% ให้การกุศล

“ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney)” คือมหาเศรษฐีชาวอเมริกันผู้มีทรัพย์สินกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 270,000 ล้านบาท)
หากแต่ฟีนีย์บริจาคทรัพย์สินและเงินแทบจะทั้งหมดให้แก่การกุศล
ฟีนีย์บริจาคเงินแก่การกุศลเป็นจำนวนรวม 8,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 270,000 ล้านบาท) และขอเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณเพียงแค่สองล้านดอลลาร์ (ประมาณ 67 ล้านบาท) เท่านั้น
นั่นหมายความว่าฟีนีย์บริจาคทรัพย์สินของตนกว่า 99.99% แก่การกุศล
เรื่องราวของเขาเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney)
“ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney)” เกิดที่สหรัฐอเมริกาในปีค.ศ.1931 (พ.ศ.2474) ในช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกากำลังประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทำให้เขาต้องดิ้นรนตั้งแต่ยังเด็ก
ในวัยประถม ฟีนีย์ได้เริ่มทำการค้าการ์ดอวยพร โดยเคาะประตูขายตามบ้าน ก่อนที่ในปีค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) เมื่อมีอายุได้ 17 ปี ฟีนีย์จะเข้าร่วมกับกองทัพอากาศในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิทยุ ทำให้ได้สวัสดิการการศึกษาฟรี
ในปีค.ศ.1956 (พ.ศ.2499) ขณะอยู่ในฝรั่งเศส ฟีนีย์ก็สังเกตว่าพวกทหารเรืออเมริกันจะได้สิทธิในการซื้อสุราปลอดภาษี ทำให้ฟีนีย์เริ่มทำการค้าสุราแก่ทหารเรือบนเรืออเมริกันในแถบเมดิเตอเรเนียน
1
หลังจากทำการค้าสุราไปได้ซักพัก ฟีนีย์ก็ตระหนักได้ว่าในขณะที่อุตสาหกรรมการบินกำลังเติบโต อีกทั้งชนชั้นกลางก็กำลังขยายตัว ดังนั้นในอนาคต การท่องเที่ยวจะต้องบูมแน่นอน และหากเหล่าทหารได้ประโยชน์จากการซื้อสุราปลอดภาษี เหล่านักท่องเที่ยวก็น่าจะต้องการเช่นกัน
ดังนั้นในปีค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ฟีนีย์จึงได้ก่อตั้ง “Duty Free Shoppers (DFS)“ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการค้าสินค้าหรูปลอดภาษี และเริ่มทำการเปิดร้านค้าตามสนามบินต่างๆ
1
ในไม่ช้า DFS ก็เติบโตและขยายสาขาไปทั่วโลก
ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) DFS ทำกำไรได้ปีละกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 101,000 บาท) และที่สำคัญ กำไรที่ได้ก็ปลอดภาษีเช่นกัน
ในปีค.ศ.1988 (พ.ศ.2531) นิตยสาร Forbes ได้จัดให้ฟีนีย์เป็นมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 24 ในสหรัฐอเมริกา
แต่ที่ Forbes และหลายคนไม่ทราบก็คือ ฟีนีย์นั้นบริจาคเงินเกือบทั้งหมดแก่การกุศล
ในปีค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) ฟีนีย์ก่อตั้ง “Atlantic Philanthropies“ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก โดยฟีนีย์ได้บริจาคเงินเพื่อการศึกษา สาธารณสุข และสิทธิมนุษยชนทั่วโลก รวมกันแล้วเป็นเงินกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 270,000 ล้านบาท)
แต่ตลอดระยะเวลาที่บริจาคเงิน ฟีนีย์มักจะทำอย่างเงียบๆ มักจะบริจาคเงินโดยไม่ประสงค์จะออกนาม ไม่ให้ใครรู้ว่าตนบริจาคเงินเพื่อการกุศล ทำให้ในเวลาต่อมาหลังจากที่สาธารณชนรับทราบ จึงตั้งฉายาให้ฟีนีย์ว่า “เจมส์ บอนด์แห่งงานการกุศล (James Bond of philanthropy)“
สาธารณชนเพิ่งจะมารับทราบความดีของฟีนีย์ก็คือในปีค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) เมื่ออดีตหุ้นส่วนทางธุรกิจของฟีนีย์ได้ออกมาเปิดเผยถึงงานการกุศลของฟีนีย์ ทำให้ประชาชนต่างยกย่องฟีนีย์
และไม่เพียงแค่บริจาคทรัพย์ส่วนตัวเท่านั้น แต่ฟีนีย์ยังใช้ความสามารถทางธุรกิจเพื่อให้เกิดผลดีต่อส่วนรวมด้วย เช่น เขาบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อกดดันและต่อรองให้รัฐบาลบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนมากกว่าที่ตนบริจาค
ตัวของฟีนีย์นั้นไม่สนใจที่จะแข่งขันอวดความมั่งคั่งร่ำรวยกับเศรษฐีคนอื่นๆ และไม่พอใจนักที่ลูกๆ ทั้งห้าคนของเขานั้นไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเอง เนื่องจากพวกลูกๆ ก็ถือตนว่าตนนั้นเป็นลูกมหาเศรษฐี
นั่นทำให้ฟีนีย์คิดว่าการบริจาคเงินคือความสุขที่แท้จริงของตน
และตัวฟีนีย์ยังเป็นคนที่สมถะอย่างที่สุด เขาไม่ได้เป็นเจ้าของรถหรูหรือบ้านหรู เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินก็จะเดินทางด้วยชั้นประหยัด นาฬิกาที่ใส่ก็ราคาแค่ 15 ดอลลาร์ (ประมาณ 500 บาท) แม้แต่เสื้อนอกของเขาก็ยังขาด มีรู
แต่หุ้นส่วนทางธุรกิจของฟีนีย์นั้นเป็นขั้วตรงข้าม
“โรเบิร์ต มิลเลอร์ (Robert Miller)” ผู้ร่วมก่อตั้ง DFS คู่กับฟีนีย์ หากแต่มีชีวิตที่ตรงข้ามกับฟีนีย์โดยสิ้นเชิง
โรเบิร์ต มิลเลอร์ (Robert Miller)
มิลเลอร์นั้นเป็นเจ้าของบ้านหรูทั้งในนิวยอร์ก ปารีส สวิตเซอร์แลนด์ และฮ่องกง อีกทั้งยังมีที่ดินกว่า 90,000 ไร่ในยอร์กเชอร์ สหราชอาณาจักร และบุตรสาวทั้งสามของมิลเลอร์ยังเป็นไฮโซ สาวสังคมที่เป็นที่รู้จัก
ความเมตตาของฟีนีย์นั้นเป็นแรงบันดาลใจแก่มหาเศรษฐีคนอื่นอย่าง “บิลล์ เกตส์ (Bill Gates)” และ ”วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)” ในการบริจาคเงินเพื่อการกุศล
เกตส์ ผู้ซึ่งมีทรัพย์สินในปัจจุบันอยู่ที่ 108,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท) และร่ำรวยเป็นอันดับที่ 13 ของโลก เคยกล่าวถึงฟีนีย์ว่า
“ชัคได้ปูทางให้นักการกุศลคนอื่นๆ ดำเนินรอยตาม ผมจำได้ว่าผมได้พบเขาก่อนจะก่อตั้ง Giving Pledge (องค์กรการกุศลของเกตส์) เขาบอกกับผมว่าเราควรโน้มน้าวผู้คนให้บริจาคเงินไม่เพียงแค่ 50% แต่ให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ในช่วงชีวิต ไม่มีใครเป็นตัวอย่างที่ดีได้เท่ากับชัคอีกแล้ว ผู้คนจำนวนมากบอกผมว่าเขาเป็นแรงบันดาลใจ นี่มันน่าอัศจรรย์จริงๆ“
ฟีนีย์ (ซ้าย) กับ เกตส์ (ขวา)
ส่วนบัฟเฟตต์ ผู้ซึ่งมีทรัพย์สิน 155,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.2 ล้านล้านบาท) และร่ำรวยเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ได้กล่าวถึงฟีนีย์ว่า
“ชัคเป็นต้นแบบแก่พวกเราทุกคน หากคุณมีวีรบุรุษที่ถูกต้องในชีวิต คุณก็มาถูกทางแล้ว 90% และชัค ฟีนีย์ก็คือวีรบุรุษ”
ฟีนีย์เสียชีวิตในปีค.ศ.2023 (พ.ศ.2566) ด้วยวัย 92 ปี ทิ้งไว้เพียงความดีและผลงานที่เคยสร้างไว้
ฟีนีย์ (ซ้าย) กับ บัฟเฟตต์ (ขวา)
ประโยคหนึ่งของฟีนีย์ที่หลายคนยกย่องและกล่าวถึงจนปัจจุบัน ก็คือ
“ผมมีความคิดหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย นั่นก็คือคุณควรใช้ความมั่งคั่งของตนในการช่วยเหลือผู้คน”
1
โดยส่วนตัว ผมยกย่องในสิ่งที่ฟีนีย์ทำ แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยหรือคิดจะทำตามทั้งหมด
การบริจาคช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากจะให้บริจาคเกิน 50% หรือเงินแทบทั้งหมดที่มี โดยส่วนตัว ผมก็มองว่าก็เกินไปหน่อย ยอมรับตามตรงว่าคงยังไม่ได้ใจบุญขนาดนั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฟีนีย์คือคนที่น่ายกย่องที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว
โฆษณา