7 มี.ค. เวลา 11:31 • ประวัติศาสตร์

ที่มาอันดำมืดของสโลแกน “Just Do It” ของ “Nike”

วันหนึ่งในยุค 80 (พ.ศ.2523-2532) “แดน วีเดน (Dan Wieden)” กำลังมืดแปดด้าน
1
วีเดนเป็นชาวอเมริกันผู้ร่วมก่อตั้ง “Wieden & Kennedy” เอเจนซีโฆษณาชื่อดัง และการคิดแนวทางการโฆษณาใหม่ๆ ก็คือความรับผิดชอบของวีเดน
วีเดนได้รับการว่าจ้างจาก “Nike” ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์กีฬาชื่อดัง ให้ช่วยคิดสโลแกนที่สื่อถึงตัวตนของสินค้าของบริษัท สโลแกนที่สั้นๆ หากแต่โดนใจ
แน่นอนว่านี่ไม่ง่าย และวีเดนก็ยังคิดไม่ออก
แดน วีเดน (Dan Wieden)
วีเดนตระหนักว่าตนต้องการสโลแกนที่ทรงอิทธิพล เข้าถึงคนหมู่มาก และสื่อถึงแบรนด์ได้อย่างทรงพลัง
แต่ปัญหาคือเขายังนึกอะไรไม่ออกเลย
ย้อนกลับไปราว 10 ปีก่อน มีเรื่องราวของชายอีกคนหนึ่งที่ตรงข้ามกับวีเดนโดยสิ้นเชิง
ชายผู้นั้นชื่อ “แกรี กิลมอร์ (Gary Gilmore)” ซึ่งถูกจับกุมมาแล้วหลายครั้ง และถูกปล่อยตัวจากเรือนจำโดยมีทัณฑ์บน
หากแต่กิลมอร์กำลังจะกลับมาก่ออาชญากรรมอีกครั้ง
แกรี กิลมอร์ (Gary Gilmore)
วันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ.1976 (พ.ศ.2519) กิลมอร์ได้ทำการปล้นปั๊มน้ำมัน และได้ทำการสังหารพนักงานปั๊มน้ำมันทั้งๆ ที่พนักงานไม่ได้ต่อสู้ขัดขืน
วันต่อมา กิลมอร์ได้ทำการปล้นโรงแรมแห่งหนึ่ง และสังหารชายอีกคนซึ่งก็ไม่ได้ต่อสู้ขัดขืนเช่นกัน
เหยื่อทั้งคู่นั้นเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งต่างก็แต่งงานและมีลูกแล้วทั้งคู่
ในช่วงที่กำลังหลบหนี กิลมอร์นั้นเผลอปืนลั่นใส่มือตัวเองโดยไม่ตั้งใจ และกิลมอร์ก็ถูกจับได้หลังจากที่ญาติของตัวกิลมอร์เองแจ้งตำรวจ เนื่องจากกิลมอร์มาขอความช่วยเหลือ ขอผ้าพันแผลกับยาแก้ปวด
โชคร้ายสำหรับกิลมอร์ที่รัฐที่กิลมอร์ก่ออาชญากรรมนั้นคือรัฐยูทาห์ ซึ่งยังมีโทษประหารชีวิต อีกทั้งคำสั่งประหารยังเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอ 10-30 ปีเหมือนที่อื่นๆ
2
หลังจากถูกจับกุม กิลมอร์ถูกส่งขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดี และด้วยหลักฐานมัดตัวที่กองเป็นภูเขา ทำให้เขาดิ้นไม่หลุด และถูกตัดวินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม ศาลตัดสินให้ประหารชีวิต
ศาลได้อนุญาตให้กิลมอร์เลือกวิธีตายได้ โดยให้เลือกระหว่างแขวนคอหรือยิงเป้า ซึ่งกิลมอร์เลือกยิงเป้า เนื่องจากต้องการจะตายอย่างรวดเร็วและไม่ทรมาน
หลังจากเข้าไปอยู่ในเรือนจำได้สามเดือน วันประหารก็มาถึง
กิลมอร์ถูกนำตัวมายังหลักประหาร โดยก่อนที่ผู้คุมจะเอาถุงคลุมศีรษะของกิลมอร์ ก็ได้ถามกิลมอร์ว่า
“มีคำสั่งเสียสุดท้ายอะไรมั้ย?”
กิลมอร์ส่ายหน้าและตอบว่า “ไม่” ก่อนจะพูดต่อว่า
“ลงมือเลย (Let’s do it)“
นาทีต่อมา กิลมอร์ก็ถูกยิงจนเสียชีวิต และทำให้กิลมอร์เป็นชายคนแรกที่ถูกประหารหลังจากที่สหรัฐอเมริกาทำการแบนโทษประหารมาเป็นเวลานานกว่าสี่ปี
วีเดนได้อ่านเรื่องราวของกิลมอร์ และก็ติดใจประโยคสุดท้ายของกิลมอร์
“ลงมือเลย (Let’s do it)“
วีเดนประหลาดใจที่พบว่าแม้แต่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย กิลมอร์ก็ยังไม่กลัว และเดินหน้ารับโทษตายอย่างมั่นใจ
วีเดนจึงนำประโยคสุดท้ายของกิลมอร์มาเป็นสโลแกน หากแต่เปลี่ยนจาก “Let’s” เป็น ”Just” เพื่อเน้นประโยค “do it”
วีเดนได้กล่าวว่า
“ผมพยายามจะเขียนบางอย่างที่มันคล้องจองกัน เพื่อที่จะได้สื่อสารไปถึงสตรีที่ออกเดินเพื่อรักษารูปร่าง ไปถึงนักกีฬาระดับโลก และมันก็มีความเกี่ยวเนื่องเดียวกันกับพวกเขา”
สโลแกน “Just Do It” ปรากฎโฉมครั้งแรกในปีค.ศ.1988 (พ.ศ.2531) ซึ่งก็คือโฆษณานี้ครับ
โฆษณานี้กลายเป็นโฆษณาที่โด่งดัง และ “Just Do It” ก็กลายเป็นสโลแกนที่ทรงพลังที่สุดอันหนึ่งในประวัติศาสตร์ คงอยู่และเป็นที่จดจำมาถึงปัจจุบัน
ดังนั้นก็คงสรุปได้ว่า “Just Do It” สโลแกนที่โด่งดังระดับโลกนี้ มีที่มาจากคำพูดสุดท้ายของนักโทษประหาร
จินตนาการและแรงบันดาลใจนั้นมาได้จากทุกที่จริงๆ
โฆษณา