อันดับต่อมาเป็น The Brutalist ที่คว้าออสการ์ไป 3 สาขา ได้แก่ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม และสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม จากการเข้าชิงทั้งหมด 10 สาขา น่าสนใจตรงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่ก่อนหน้านี้มีดราม่าเรื่องการใช้ AI แก้ไขเสียงพูดบางส่วนในภาษาฮังการีของ Adrien Brody แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลให้เขาพลาดการคว้าออสการ์นำชายตัวที่ 2 ในชีวิตแต่อย่างใด ซึ่งเป็นตัวที่ต่อจากตัวแรกจากภาพยตร์เรื่อง The Pianist ในปี 2002
ส่วนภาพยนตร์ที่มีข่าวฉาวมากที่สุดจนคาดว่าน่าจะมีผลอย่างมากจนอาจจะพลาดรางวัลทั้งหมดอย่าง Emilia Peréz ก็สามารถฝ่าฟันกระแสเหล่านั้นจนคว้าออสการ์ไปได้ถึง 2 สาขา คือ Zoe Saldana ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม และสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจากเพลง El Mal จากการเข้าชิงทั้งหมด 13 สาขา ซึ่งเยอะที่สุดในการประกาศรางวัลครั้งนี้
เท่ากันกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Dune: Part Two ที่ได้รางวัลในสาขาเสียงยอดเยี่ยม และสาขาเทคนิคพิเศษด้านภาพยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นการชนะรางวัลในสาขาเดียวกับที่ Dune: Part One ที่เคยทำได้ในปี 2022 (Dune: Part One เข้าชิง 10 สาขา คว้ารางวัลได้ 6 สาขา)
ส่วนสาขาที่พลิกโผที่สุดในครั้งนี้ เห็นทีจะเป็นสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมที่ชื่อของ Demi Moore จาก The Substance เป็นตัวเต็งเพราะคว้ามาแล้วทั้ง Golden Globe, Critics Choice และ SAG Awards ในขณะที่ Mikey Madison จาก Anora นั้นคว้ารางวัลจากเวที BAFTA
ซึ่งหากบวกกับที่ผ่านมาออสการ์มักจะ “เห็นใจ” นักแสดงที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนานหรือร้างราจอไปนาน เมื่อเขาและเธอเหล่านั้น “กลับมา” สร้างชื่ออีกครั้งก็มักจะได้ผลที่เป็นใจ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Demi Moore นักแสดงหญิงวัย 62 ปี และหลายคนคาดการณ์ว่าคงเป็นเรื่องยากที่ Demi Moore จะกลับมามีชื่อบนเวทีแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง
เมื่อมองภาพรวมรางวัลในปีนี้ถือได้ว่าเป็นชัยชนะของภาพยนตร์อิสระอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึงภาพยนตร์ที่ไม่ได้ถูกสร้างโดยสตูดิโอใหญ่ หากดูแล้วภาพยนตร์เหล่านั้นใช้ทุนต่ำสร้างต่ำกว่า 10 ล้านเหรียญฯ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Anora, The Brutalist, A Real Pain, Flow หรือ I’m Still Here แต่หากนับรวมกันแล้วภาพยนตร์ทั้ง 5 เรื่องนี้ กวาดรางวัลรวมกันไปถึง 11 สาขา
เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้เหล่านักทำหนังหน้าใหม่ให้ได้ประจักษ์ว่าความสำเร็จสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนหากตั้งใจจริง ซึ่งตัวผู้กำกับ Sean Baker ก็ได้กล่าวขอบคุณทาง Academy ที่ให้ความสำคัญกับเหล่าคนทำหนังอิสระเช่นกัน
ตั้งแต่มุกดราม่าเกี่ยวกับ Karla Sofía Gascón ที่เจ้าตัวก็ยังคงมาร่วมงานในครั้งนี้ มุก AI ในภาพยนตร์เรื่อง The Brutalist หรือมุกการเมืองระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียที่คล้ายๆ กับความสัมพันธ์ของตัวละครใน Anora และอื่นๆ อีกมากมาย คอยเรียกเสียงหัวเราะของผู้ร่วมงานเป็นระยะๆ กระทั่งการมอบรางวัลสดุดีแก่เหล่านักดับเพลิงในเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ที่ LA ก็ยังไม่วายยิงมุกตลกได้อีก ซึ่งเป็นสไตล์แตกต่างจาก Jimmy Kimmel ในปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ในด้านการแสดงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนๆ ที่จะหล่อเลี้ยงงานประกาศด้วยโชว์จากเพลงที่เข้าชิงในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมทั้ง 5 เพลง แต่ในครั้งนี้ได้ตัดโชว์เหล่านั้นออกไปและแทนที่ด้วยโชว์ที่พิจารณาแล้วว่าเป็น “มรดกทางภาพยนตร์” งานเปิดด้วยโชว์เพลงเมดเลย์จากภาพยนตร์ระดับตำนานเรื่อง The Wizard of Oz (1939)
โดยนักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง Wicked อย่าง Cynthia Erivo และ Ariana Grande ขึ้นมาร้องเพลง “Over the Rainbow” ซึ่งมาจาก The Wizard of Oz เอง ถัดมาเป็นเพลง “Home” จากภาพยนตร์เรื่อง The Wiz (1978) ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนว Musical ที่ดัดแปลงมาจาก The Wizard of Oz อีกที และ “Defying Gravity” จาก Wicked ที่เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดในแฟรนไชส์พ่อมดออซ เรียกว่าเป็นการเปิดงานได้อย่างยิ่งใหญ่สมฐานะ
อีกหนึ่งโชว์ที่แฟนๆ ชาวไทยตั้งหน้าตั้งตาคอยเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นโชว์พิเศษจากอีกตำนานแห่งโลกภาพยนตร์ “James bond” ที่ได้ศิลปินชาวไทยชื่อเสียงระดับโลกอย่าง “ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า BLACKPINK” ขึ้นมาถ่ายทอดบทเพลง Live and Let Die จากภาคที่ใช้ชื่อเดียวกันในปี 1973
การปรากฏตัวของลิซ่าสร้างสถิติเป็น “คนไทย” คนที่สองที่ได้ขึ้นไปบนเวทีออสการ์ ถัดจาก “แก้ม-วิชญาณี เปียกลิ่น” ที่ขึ้นไปร้องเพลง Into the Unknown จากภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Frozen 2 ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2020
ถัดจากเพลง Live and Let Die เป็นเพลง Diamonds Are Forever จากภาคในปี 1971 ขับร้องโดยแร็ปเปอร์และนักร้องสาวชาวอเมริกา Doja Cat(โดจา แคท) และปิดท้ายด้วยเพลง Skyfall ในภาคปี 2012 ขับร้องด้วย RAYE(เรย์) นักร้องนักแต่งเพลงสาวชาวอังกฤษ เป็นโชว์ที่ได้รับเสียงตอบรับชื่นชมอย่างล้นหลาม ซึ่งต้นโชว์ก็มีนักแสดงสาวที่มาแรงอย่าง Margaret Qualley จากภาพยนตร์เรื่อง The Substance ร่วมแสดงด้วยเช่นกัน
ไฮไลท์การกล่าวสปีดหรือสุนทรพจน์ของผู้ได้รับรางวัลก็เป็นอีกเรื่องที่น่าพูดถึง เหล่าผู้กำกับจาก No Other Land ที่คว้ารางวัลในสาขาสารคดียอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสารคดีที่ว่าถึงการอพยพของชุมชนชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกอิสราเอลยึดครอง กล่าวสปีดเรียกร้องอิสระภาพให้กับชาวปาเลสไตน์จนได้รับเสียงปรบมืออื้ออึงทั้งโรงละคร
และที่พิเศษ(อีกแล้ว)สำหรับชาวไทย เมื่อ Ron Bartlett ซึ่งเป็น Sound Engineer ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Dune: Part Two ขณะกล่าวสปีชหลังคว้ารางวัลในสาขาเสียงยอดเยี่ยม เขาได้กล่าวขอบคุณทีมงานและกล่าวมอบรางวัลนี้ให้กับภรรยา ก่อนกล่าวออกมาเป็นภาษาไทยว่า “ผมรักคุณ” เสียงดังฟังชัด สร้างความตื่นตะลึงไม่น้อย ซึ่งแท้จริงแล้วภรรยาของ Ron Bartlett เป็นชาวไทยชื่อว่า “คุณอ้อ” ที่แต่งงานกันมานานกว่า 30 ปีแล้วนั่นเอง และมีลูกด้วยกัน 2 คน กลายเป็นโมเมนต์พิเศษสำหรับชาวไทยอย่างมาก
โดยใน Dune: Part One ตัวของ Ron Bartlett ก็มีชื่อเป็นผู้ชนะรางวัลเช่นกัน เพียงแต่ในปีนั้น(การประกาศรางวัลครั้งที่ 94) ได้มีการตัดการขึ้นรับรางวัลบางสาขารวมถึงสาขาเสียงยอดเยี่ยม ให้เหลือเพียงวิดีโอสปีชของผู้ชนะรางวัล(ซึ่งถูกประกาศผลและบันทึกไว้ล่วงหน้า 1 ชั่วโมงก่อนงานจริง) แทนเพื่อความกระชับของงาน แน่นอนว่าถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เท่าเทียมของสาขารางวัล