Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
10 มี.ค. เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
สรุปทุกเรื่องของ “ตราสารหนี้” เข้าใจในโพสต์เดียว
ตราสารหนี้ เป็นตราสารทางการเงินชนิดหนึ่งที่ผู้ถือตราสาร มีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” ขณะที่ผู้ออกตราสาร จะมีสถานะเป็น “ลูกหนี้”
โดยผลตอบแทนที่ผู้ถือตราสารหนี้ได้รับ จะอยู่ในรูปของ “ดอกเบี้ย” ซึ่งอาจคงที่หรือไม่ก็ได้
ในบทความนี้ ลงทุนแมนจะพาไปรู้จักกับตราสารหนี้ทุกรูปแบบ ที่เราจะได้เจอในโลกของการลงทุน
ซึ่งเมื่ออ่านเสร็จ ก็สามารถแชร์เก็บไว้เผื่อย้อนกลับมาทบทวนอีกในอนาคตได้
เริ่มกันที่ รู้จัก 2 ผู้ออกตราสารหนี้
1. ผู้ออกตราสารหนี้หลัก ๆ แล้ว จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ภาครัฐ และภาคเอกชน
3
โดยผู้ออกตราสารหนี้ภาครัฐนั้น มักเป็นรัฐบาล
แต่ในบางครั้งก็มีหน่วยงานรัฐอื่น ๆ อย่างรัฐวิสาหกิจ รัฐบาลท้องถิ่น หรือธนาคารกลางของประเทศ เป็นผู้ออกตราสารหนี้ เพื่อระดมทุนได้เช่นกัน
1
ขณะที่ในฝั่งของภาคเอกชนนั้น ผู้ออกตราสารก็คือบริษัทต่าง ๆ นั่นเอง
1.1 ตราสารหนี้ภาครัฐ (Government Bond)
มักขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางการเงิน ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เนื่องจากผู้ออกตราสารหนี้ หรือผู้ที่กู้เงินนั้น ก็คือรัฐบาล หรือหน่วยงานภาครัฐ ของแต่ละประเทศ ซึ่งโดยทั่วไปมีความมั่นคงมากกว่า และมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้น้อยกว่าภาคธุรกิจเอกชน
2
โดยตราสารหนี้ภาครัฐนั้น ก็ยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก
- ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดยรัฐบาล ปกติจะมีอายุไม่เกิน 365 วัน
1
โดยตั๋วเงินคลัง จะไม่มีการจ่ายผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย แต่ผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทน ในรูปของส่วนลด จากราคาที่ตราไว้ของตั๋วเงินคลังที่ซื้อมา
1
ซึ่งเมื่อครบกำหนดอายุ เราสามารถขายตั๋วเงินคลังคืน โดยจะได้รับเงินต้น ตามราคาที่ตราไว้บนตั๋วเงินคลัง
เช่น ราคาหน้าตั๋ว 100 บาท ขายในราคา 97 บาท
เมื่อครบกำหนดไถ่ถอน ผู้ถือตั๋วจะได้รับเงินเต็มจำนวน 100 บาท ซึ่งส่วนต่าง 3 บาท เปรียบได้ดั่งผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
2
- พันธบัตรรัฐบาล (Treasury Bond) เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล โดยทั่วไปจะมีอายุมากกว่า 1 ปี และอาจมีอายุมากถึง 30 ปี
โดยพันธบัตรรัฐบาล จะมีการจ่ายดอกเบี้ยให้เป็นงวด ๆ ตามที่กำหนดไว้ตอนออกตราสาร
- พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand Bond) จะมีความคล้ายกับพันธบัตรรัฐบาล เพียงแต่ผู้ออกจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นธนาคารกลาง โดยมีจุดประสงค์คือ การควบคุมปริมาณเงินในระบบ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
1
- พันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Municipal Bond) เป็นพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นอย่างเทศบาล โดยมักเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ยังมีตราสารหนี้ภาครัฐบางประเภท ที่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการกู้เงินแตกต่างกันไป เช่น
- พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation Linked Bond) ที่จะมีการปรับมูลค่าที่ตราไว้และดอกเบี้ย ตามอัตราเงินเฟ้อ
- พันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ (Deficit Financing Bond) เป็นพันธบัตรที่ออกเพื่อระดมทุนมาใช้ในการชดเชยการขาดดุลงบประมาณของประเทศ
1.2 เปิดโลกตราสารหนี้ภาคเอกชน
ตราสารหนี้ภาคเอกชน มักเรียกโดยรวม ๆ ว่า “หุ้นกู้” ออกโดยบริษัทเอกชน หรือหน่วยงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาครัฐ
- หุ้นกู้ (Corporate Bond) เป็นตราสารหนี้ทั่วไปที่บริษัทเอกชนออกมา สำหรับใช้ในการกู้เงินเพื่อขยายธุรกิจ ลงทุน หรือแม้กระทั่งออกหุ้นกู้รุ่นใหม่ เพื่อทดแทนรุ่นเดิม หรือที่เรียกว่า Roll Over
4
- หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Bond) จะคล้ายกับหุ้นกู้ทั่วไป แต่ต่างกันตรงที่ หากผู้ออกล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้ จะได้รับการชดเชยหลังจากผู้ถือหุ้นกู้หรือเจ้าหนี้ทั่วไป
หรือก็คือ ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ มีโอกาสไม่ได้รับชำระเงินต้นคืนมากกว่า หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ล้มละลาย
1
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิจะได้รับผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ผู้ถือหุ้นกู้ทั่วไป เพื่อชดเชยความเสี่ยงตรงนี้
1
- หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) เป็นหุ้นกู้ที่ผู้ถือสามารถใช้สิทธิในการแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ ในระยะเวลา, อัตราส่วน และราคาที่กำหนด
หรือพูดง่าย ๆ ว่าใช้สิทธิเปลี่ยนจาก “เจ้าหนี้” เป็น “เจ้าของ” นั่นเอง
ซึ่งหลังจากใช้สิทธิแปลงสภาพแล้ว ผู้ถืออาจได้รับกำไร (หรือขาดทุน) จากส่วนต่างราคา รวมถึงมีสิทธิได้รับเงินปันผลด้วย
1
- หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond) เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิประเภทหนึ่ง ที่ไม่ได้กำหนดอายุหรือวันไถ่ถอนที่แน่นอน ซึ่งจะทำให้ผู้ถืออาจไม่ได้รับเงินต้นคืน จนกว่าบริษัทจะเป็นฝ่ายประกาศไถ่ถอนเอง หรือเมื่อเลิกบริษัท
นอกจากนี้ การจ่ายดอกเบี้ยของหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ จะไม่แน่นอนเหมือนกับหุ้นกู้อื่น ๆ แม้มักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป แต่บริษัทผู้ออก อาจงดการจ่ายดอกเบี้ยบางงวดออกไปก่อนได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดนัดชำระหนี้
2. อันดับตราสารหนี้ สิ่งที่เราต้องดูก่อนลงทุนตราสารหนี้
เมื่อเจ้าหนี้ปล่อยกู้เงินให้แก่ลูกหนี้แล้ว แน่นอนว่าเจ้าหนี้ก็ต้องอยากได้ดอกเบี้ยและเงินคืนเมื่อครบกำหนดตามที่ตกลงกัน
แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าลูกหนี้เหล่านั้น จะสามารถจ่ายเงินได้ ?
ทำให้เกิดการจัดอันดับเครดิต (Credit Rating) ขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อตราสารหนี้ สามารถประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้
โดยบริษัทจัดอันดับเครดิตในไทย มีอยู่ 2 เจ้า คือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) และบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ซึ่งตัวอันดับเครดิตนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
- ระดับ Investment Grade เป็นตราสารหนี้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเหมาะสมแก่การลงทุน มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในเกณฑ์ที่สูงถึงปานกลาง
ซึ่งมี AAA เป็นอันดับเครดิตสูงสุด ไปจนถึง BBB- ซึ่งเป็นอันดับเครดิตที่ต่ำสุดในกลุ่ม
- ระดับ Non-Investment Grade หรือ Speculative Grade เป็นกลุ่มตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีความน่าเชื่อถือค่อนข้างต่ำ และอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไป
ซึ่งมี BB+ เป็นอันดับเครดิตที่สูงที่สุดในกลุ่มนี้ และมีไล่ระดับไปจนถึง D ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่อยู่ในสถานะผิดนัดชำระหนี้
อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้กลุ่มนี้มักมีการให้ผลตอบแทนสูง เพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้
นอกจากนี้ ตราสารหนี้บางบริษัท อาจอยู่ในสถานะ “ไม่ได้รับการจัดอันดับ หรือ Unrated” ซึ่งมักจะมีผลตอบแทนสูงที่สุด และจะจัดจำหน่ายให้กับนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้น
3. ส่วนประกอบหลัก ของตราสารหนี้
- ราคาที่ตราไว้ (Par Value) เป็นมูลค่าเงินต้นที่ผู้ออกตราสารหนี้ สัญญาว่าจะคืนเมื่อครบกำหนดอายุ
- อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) เป็นผลตอบแทนที่ผู้ออกตราสารหนี้ สัญญาว่าจะจ่ายให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้เป็นงวด ๆ ซึ่งอาจคงที่หรือไม่ก็ได้
- อายุของตราสารหนี้ (Issue Term) เป็นตัวบ่งบอกว่าตราสารหนี้ที่ออกนั้น เป็นแบบระยะสั้นหรือระยะยาว โดยนับจากวันที่ออกตราสารหนี้ไปจนถึงวันครบกำหนดอายุ
- งวดการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon Frequency) เป็นการระบุจำนวนงวดการจ่ายดอกเบี้ย โดยอาจจ่ายทุก ๆ 3 เดือน (ไตรมาส) หรือ 6 เดือน
- วันเสนอขาย (Issue Date) และวันครบกำหนดอายุ (Maturity Date) เป็นวันที่มีการเสนอขาย และวันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ ซึ่งผู้ออกจะต้องจ่ายคืนเงินต้น และดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ให้กับผู้ลงทุน
4. การผิดนัดชำระ ความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุดของตราสารหนี้
ที่ผ่านมา เราอาจได้เห็นข่าวการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชน
เพราะนั่นหมายความว่า ต่อให้ดอกเบี้ยจะน่าดึงดูดแค่ไหน แต่ถ้าต้องสูญเสียเงินต้นทั้งหมดไป ก็ได้ไม่คุ้มเสีย
ซึ่งเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรให้ความสำคัญ โดยนอกจากการพิจารณา Credit Rating แล้ว
เราอาจตรวจสอบหนี้สินคงค้าง ความสามารถในการทำกำไร จ่ายดอกเบี้ย รวมถึงเงินสด และกระแสเงินสดที่บริษัทผู้ออกตราสารหนี้นั้นสร้างได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากการลงทุน
เพราะถ้าหากบริษัทนั้น ไม่มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนได้แล้ว นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เราอาจเสียเงินก้อนนั้นไปทั้งจำนวนหรือ “ขาดทุน 100%” นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวของตราสารหนี้ ที่นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจในตราสารหนี้ทุกคน ควรจะทำความรู้จักไว้ ก่อนที่จะลงทุนในตราสารหนี้ ตลอดจนใช้ทำความรู้จักหนี้สินของบริษัท ที่เราถือหุ้นอยู่..
1
References
-
https://www.thaibma.or.th/EN/Investors/Individual/basic-101.aspx
-
https://www.thaibma.or.th/EN/Investors/Individual/Blog/2023/190923.aspx
-
https://www.thaibma.or.th/EN/Investors/Individual/Blog/SubordinatedBond.aspx
-
https://www.thaibma.or.th/EN/Investors/Individual/Blog/2017/01112017.aspx
-
https://www.moneylabstory.com/12146
-
https://www.setinvestnow.com/th/bond/how-to-pick-bond
หุ้น
การลงทุน
172 บันทึก
107
1
186
172
107
1
186
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย