8 มี.ค. เวลา 11:32 • ดนตรี เพลง

Yellow Magic Orchestra: มหัศจรรย์แห่งเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เหนือกาลเวลา

หากพูดถึงรากฐานของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในยุคปลายทศวรรษ 1970s และต้น 1980s นอกจาก Kraftwerk แล้ว อีกหนึ่งวงดนตรีที่มีอิทธิพลมหาศาลต่อวงการดนตรีโลกก็คือ "Yellow Magic Orchestra" หรือ YMO ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกแนว Techno-Pop จากประเทศญี่ปุ่นที่สามารถนำดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มาผสมผสานกับกลิ่นอายความเป็นเอเชียได้อย่างงดงาม
ในปี 1978 "Yellow Magic Orchestra" ได้เปิดตัวอัลบั้มแรกในชื่อเดียวกับวง ซึ่งต่อมาถูกรีมิกซ์และออกจำหน่ายในตลาดสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อ "Yellow Magic Orchestra (USA Version)" ซึ่งมีการมิกซ์เสียงใหม่ให้มีความคมชัดและทันสมัยมากขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มผู้ฟังตะวันตก โดยเฉพาะในยุคที่ดนตรี Synth-Pop และ Electronic Disco กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำให้อัลบั้มนี้โดดเด่นคือการใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ล้ำยุค อย่าง Synthesizer, Sequencer, และ Drum Machines ซึ่งในขณะนั้นยังถือเป็นเทคโนโลยีที่แปลกใหม่และล้ำหน้ามาก แนวทางนี้ทำให้ YMO ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก และเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลัง ตั้งแต่วง Depeche Mode, Daft Punk ไปจนถึงศิลปินแนว Electronic Dance Music (EDM) ในปัจจุบัน
สมาชิกทั้งสามของ YMO ได้แก่ Haruomi Hosono (เบสและโปรดิวเซอร์), Ryuichi Sakamoto (คีย์บอร์ดและซินธิไซเซอร์), Yukihiro Takahashi (กลองและร้องนำ) ต่างเป็นนักดนตรีระดับแนวหน้าของญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ทางดนตรีที่กว้างขวาง การรวมตัวกันของพวกเขาจึงเป็นการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ เทคนิค และสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร
อัลบั้มนี้เปิดตัวอย่างน่าตื่นเต้นด้วยเพลง "Computer Game 'Theme from The Circus' (コンピューター・ゲーム —サーカスのテーマ—)" ซึ่งเป็นซิงเกิลที่สร้างชื่อเสียงให้กับ YMO ในระดับนานาชาติ โดยเพลงนี้ใช้เสียงบี๊บของวิดีโอเกมยุคแรก ๆ เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งนับเป็นการบุกเบิกแนวทางใหม่ในการนำเสียงจากเทคโนโลยีและวัฒนธรรมป๊อปมาใช้ในดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ และด้วยความยาวเพียง 1:46 นาที เพลงนี้จึงเป็นเหมือนอินโทรเปิดตัวของวงและเพลงถัดไป อย่าง "Firecracker" ได้ดีทีเดียว
เพลง "Firecracker (ファイアークラッカー)" เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการนำแนวคิดทางดนตรีจากอดีตมาสร้างสรรค์ใหม่ในบริบทที่ล้ำสมัย เพลงต้นฉบับซึ่งประพันธ์โดย Martin Denny ในช่วงปลายยุค 50s เป็นผลงานที่อยู่ในแนว Exotica ซึ่งเป็นแนวเพลงตะวันตกที่นำเอาองค์ประกอบของดนตรีพื้นบ้านจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และญี่ปุ่นมาปรับให้เข้ากับรสนิยมของผู้ฟังชาวอเมริกันในยุคหลังสงคราม
อย่างไรก็ตาม YMO ไม่ได้เพียงแค่ดัดแปลงเพลงนี้แบบตรงไปตรงมา แต่พวกเขากลับนำเสนอใหม่ผ่านเลนส์ของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้ซินธิไซเซอร์และโปรแกรมมิ่งจังหวะที่ล้ำสมัยสำหรับยุคนั้น ทำให้ "Firecracker" เวอร์ชั่นของพวกเขากลายเป็นผลงานที่แสดงถึงการผสมผสานระหว่างดนตรีดั้งเดิมและเทคโนโลยีดนตรีสมัยใหม่อย่างลงตัว
ซาวด์ของเพลงนี้เต็มไปด้วยความโดดเด่นของเสียงสังเคราะห์ที่สดใสและจังหวะที่สนุกสนาน ให้ความรู้สึกทั้งลึกลับและเร้าใจในคราวเดียวกัน ความซับซ้อนของการเรียบเรียงดนตรีโดยการสอดแทรกเสียงออร์เคสตราที่ประณีต ทำให้เพลงนี้มีเอกลักษณ์ที่เหนือไปจากแค่เพลงแดนซ์ทั่วไปในยุคเดียวกัน
"Firecracker" กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ดีเจและนักฟังเพลง Disco ของยุคปลาย 70s และต้น 80s ซึ่งช่วยขยายขอบเขตของแนวดนตรี Techno-Pop และ Electronic ให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ เพลงยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปินรุ่นหลัง โดยเฉพาะในแวดวงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และฮิปฮอป เช่น Afrika Bambaataa ที่ได้นำเอาองค์ประกอบของเพลงนี้ไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของตนเอง
"Cosmic Surfin' (コズミック・サーフィン)" อีกหนึ่งเพลงที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ YMO ได้อย่างชัดเจน ด้วยท่วงทำนองที่ล่องลอยราวกับการโต้คลื่นไปตามแรงดึงดูดของจักรวาล เพลงนี้นำพาผู้ฟังเข้าสู่บรรยากาศแห่งอนาคตด้วยซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำยุค ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันของเสียงสังเคราะห์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวดนตรี Electronic และ Disco ยุค 70s แต่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่สดใหม่และแตกต่างไปจากงานของศิลปินตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน
"Cosmic Surfin" เริ่มต้นด้วยจังหวะสนุกสนานที่ให้อารมณ์ล่องลอย คล้ายกับการเดินทางผ่านห้วงอวกาศด้วยพลังของเสียงดนตรี เสียงสังเคราะห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของวงทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว ผสานเข้ากับริฟฟ์เมโลดี้ที่ติดหู และการเรียบเรียงดนตรีที่เรียบง่ายแต่มีชั้นเชิง ทำให้เพลงสามารถสร้างบรรยากาศแห่งความล้ำสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าจะเป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกสนานและฟังง่าย แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความซับซ้อนทางดนตรีที่สะท้อนถึงความสามารถอันโดดเด่นของสมาชิกวง
นอกจากนี้ เพลงนี้ยังถือเป็นหนึ่งในผลงานที่มีบทบาทสำคัญในการปูทางให้แนวเพลง Techno-Pop ได้รับความสนใจมากขึ้นในระดับสากล ก่อนหน้าที่ YMO จะก้าวขึ้นมาเป็นแนวหน้าของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ญี่ปุ่นยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางของดนตรีแนวนี้ในเวทีโลกมากนัก อย่างไรก็ตาม ด้วยการผสมผสานซาวด์สังเคราะห์ที่โดดเด่นเข้ากับแนวดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากฝั่งตะวันตก YMO สามารถสร้างแนวทางดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และ "Cosmic Surfin'" ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกระบวนการทดลองดนตรีที่พวกเขาใช้เพื่อสร้างสรรค์ซาวด์สเคปแห่งอนาคต
หรือจะเป็นหนึ่งในบทเพลงที่โด่งดังที่สุดของวง อย่าง "Tong Poo (東風, tonpū – East Wind)" และถือเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของวงได้อย่างชัดเจน ด้วยการผสมผสานระหว่างดนตรีดั้งเดิมของญี่ปุ่นและซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำยุค เพลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของ YMO ในการสร้างสรรค์ซาวด์สเคปที่แตกต่างจากดนตรีตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน
โครงสร้างของเพลงมีจังหวะเบสแน่น ๆ แบบ Disco ที่เป็นรากฐานของการเต้นรำ ผสานกับเมโลดี้ที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีญี่ปุ่น ทำให้เกิดบรรยากาศที่ทั้งลึกซึ้งและน่าหลงใหล นอกจากนี้ ซินธิไซเซอร์ที่ใช้ยังมีการปรับแต่งเสียงให้มีมิติและความซับซ้อน ซึ่งทำให้เพลงนี้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากเพลง Techno-Pop อื่น ๆ ในยุคนั้น
การเรียบเรียงดนตรีของ "Tong Poo" แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางดนตรีอันยอดเยี่ยมของสมาชิกวง ไม่ว่าจะเป็นการใช้คอร์ดที่มีไดนามิก การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเพลงที่ให้ความรู้สึกเหมือนการเล่าเรื่อง และการผสมผสานจังหวะที่ซับซ้อน แต่ยังคงไว้ซึ่งความไพเราะและเข้าถึงได้ง่าย ผลงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของ Ryuichi Sakamoto ที่ต้องการสร้างดนตรีที่ไม่จำกัดอยู่เพียงกรอบของวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง แต่เป็นดนตรีที่เชื่อมโยงองค์ประกอบจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน
และปิดท้ายด้วย "La Femme Chinoise (中国女, Chūgoku-onna)" เพลงที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดแบบ Futuristic ของ YMO ได้อย่างชัดเจน เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การผสมผสานระหว่างดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และกลิ่นอายของวัฒนธรรมจีนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงมุมมองของยุค Postmodern ที่เทคโนโลยีและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเริ่มหลอมรวมกัน
เสียงซินธิไซเซอร์ที่เด่นชัดสร้างบรรยากาศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์ไซเบอร์พังก์ โดยมีบีตที่เป็นจังหวะแบบเครื่องจักร แต่ในขณะเดียวกันก็มีความลื่นไหลราวกับดนตรีพื้นบ้านจากเอเชียตะวันออก นี่คือความขัดแย้งที่ YMO สามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างแนบเนียน และกลายเป็นซิกเนเจอร์ของพวกเขาในยุคนั้น
สิ่งที่ทำให้ "La Femme Chinoise" น่าสนใจไม่ใช่เพียงแต่ซาวด์ของมัน แต่ยังรวมถึงแนวคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้เพลง ชื่อเพลงที่แปลว่า "Chinese Woman" บ่งบอกถึงการนำเสนอภาพของโลกตะวันออกจากมุมมองที่มีชั้นเชิง เนื้อร้องภาษาฝรั่งเศสสร้างความรู้สึกแปลกแยก แต่ก็น่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน ราวกับเป็นเสียงของเอเชียที่ถูกถ่ายทอดผ่านเลนส์ของโลกตะวันตก
นี่อาจเป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์และการรับรู้ทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญในยุคที่โลกกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวทางเทคโนโลยี "La Femme Chinoise" จึงไม่ใช่แค่เพลง Techno-Pop ทั่วไป แต่เป็นบทสนทนาทางดนตรีที่สะท้อนให้เห็นถึงยุคสมัยของมัน และยังคงมีความหมายมาจนถึงปัจจุบัน
Trio แห่ง YMO (ซ้ายไปขวา): Yukihiro Takahashi, Ryuichi Sakamoto และ Haruomi Hosono
อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่และบทสรุปของอัลบั้ม
"Yellow Magic Orchestra" ไม่เพียงแต่เป็นงานเปิดตัวของ YMO แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส Techno-Pop ที่จะขยายอิทธิพลไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแวดวงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และซินธิไซเซอร์ หลังจากอัลบั้มนี้ YMO ได้พัฒนาแนวดนตรีของตนเองไปสู่ความเป็น Avant-Garde Electronic (ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ล้ำยุค) มากขึ้น และยังคงมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีสมัยใหม่มาจนถึงปัจจุบัน
การฟังอัลบั้มนี้ในทุกวันนี้ยังคงให้ความรู้สึกสดใหม่ ด้วยซาวด์ที่ล้ำยุคและแนวทางการทดลองที่ก้าวหน้ากว่าเวลาของมันมาก เพลงในอัลบั้มสามารถเชื่อมโยงเข้ากับวัฒนธรรม Retro-Futurism ได้เป็นอย่างดี และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินและนักดนตรีรุ่นใหม่ที่ต้องการสำรวจขอบเขตของเสียงอิเล็กทรอนิกส์
หน้าปกอัลบั้มต้นฉบับที่ออกวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ปีเดียวกันกับเวอร์ชั่น USA
หากคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ หรืออยากค้นพบต้นกำเนิดของแนว Synth-Pop และ Techno อัลบั้ม "Yellow Magic Orchestra" นี้คือหนึ่งในอัลบั้มที่คุณไม่ควรพลาดมากที่สุด!
Cr. Allmusic / Wikipedia
---
โฆษณา