เมื่อวาน เวลา 12:00 • ความคิดเห็น
เรื่องราว ของวิญญาณทั้งหก ที่เราใช้กาย นำพาวิญญาณมั้งหกไป ..เคลื่อนที่ สัมผัส อะไรต่างๆ มันก็มีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ..มีอารมณ์โลภโกรธหลง มีอารมณ์ต่างเกิดขึ้น ในคำว่ากิริยาท่าทางกายวาจาใจ เกิดขึ้น. สิ่งเหล่านั้น เราไม่รู้เลยว่า ..การใช้วิญญาณทั้งหก นั้น มีการเก็บบันทึกลงไปที่ธาตุทั้งสิ่ ..เป็นลักษณะสีดำสีม่วงเกิดขึ้นตลอดเวลา เหมือนว่า ไปเก็บไปยึด เรื่องราวต่างนำเข้ามา ภายในบ้านที่จิตอาศัย ....
เรื่องราวของคนเรา นั่นต่างก็มีกรรม มีนิสัยเวรกรรม คนที่ชอบคล้ายกัน ส่วนคนทีมีบุญ ขอบทำบุญปฏิบัติธรรม ..คนมีกรรม เค้าก็ถอยห่างจากคนมีบุญ มันมีเรื่องราวที่ว่า จิตต่างสี บารมีต่างปล่อง ก็มีการแยกสีกันออกไป เวลาเราไปยอกให้คนมีบุญ ..ร่วมสร้างบุญกุศล พอบอก เค้าก็ยินดีทำบุญ ..แต่บอกคนมีกรรม ..ซื้อหวย เล่นการพนัน ..เค้าก็เมินหนี่ ..แต่เสียเงืนทอง แทงหวนเล่นการพนันได้ ..แล้วหากเค้าทำบุญ เค้าก็เรียกร้องหากรรมให่เพิ่มพูนขึ้น ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ..
เรื่องราวที่ว่า ก่อนออกจากบ้าน ไปทำงาน เราก็สวดมนต์ กราบพระ ทำจิตเฉย ทำบุญหน้าพระวันละบาท บอกตัวเองว่า วันนี้ ลูกจะนำกายพ่อแม่ ไปทำมาหากิน ต้องมีการใช้อารมณ์กรรมต่างๆ ตกเน็นกลับบ้าน ก็ไปนั่งหน้าพระ ไปกราบะระ ทพกานิ่งนิ่ง จิตเฉย ๆ มีพระยอกให้เรทฝึกหัด
..ใหม่ๆ ที่ฝึกหัด ก็เหมือนไม่มีอะไร . พอทำไปทุกวันๆ จากวันเป็นเดือน เป็นปี หลายปี ..ที่เพียรฝึกทำตามที่ท่านบอก ..ครววนี้ ..มันก็เกิดขึ้น ..การรับรู้ ..พอไปนั่งหน้าพระ ..ทำกายนิ่งๆ ตัวตรงๆ จิตเฉยๆ ..มันก็เกิดความรู้สึก ร้อนรุ่ม เหมือนเราไปนั่งหน้ากองไฟ บางทีก็ เหมือนไปนั่งในเตาอบ หรือ กลางทะเลทราย บางที่ก็เป็นหมอกควัน ปกคลุม ลงมาที่หน้าตา สิ่งเหล่านี้..เมื่อเราได้เรียนรู้มากขึ้น ..เราก็จะค่อยๆรู้จัก ที่เค้าว่า นำพากายพาจิตไปจม ไปคลุกโคลมตม ..บันทึกติดลงไปที่ธาตุทั้งสี่
คราวนี้ จะว่า สถานการณ์ใดบ้างควร จะทำอย่างไร มันก็พูดยาก ..มันต้องฝึกหัด ให้มีสติสัมปชัญญะ มีการเตือนสติขิงตนตลอดเวลา . ตั้งแต่ ตื่นนอนไปจน เข้านอน ..แต่นั่นก็เปเรื่องยากที่จะทำได้ เพราะจิตเรามันอ่อน ..มันก็หลงใหลไปกับ อารมณ์กรรมตัวกระทำที่เกิดจึ้นในกายที่จิตเราอาศัยอยู่ ที่ว่ามีสิ่งของต่างที่เรา นำเข้าสะสมเก็บไว้ในบ้านจนรกรุงรัง ไปหมด
แล้วในการไปในบางสถานที่ ..เช่นไปตามที่เค้ามี ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเรื่องราวให้หลงใหล เข้าไปยึดถือ เรื่องราวของคำว่า ..ให้หลงเชื่อ อิทธิฤทธิ์โลกีย์ ไปสร้างบุญกุศลในวัดว่า อาราม ที่เค้าว่า มีศักดิ์สิทธิ์ มีการบนบานสานกล่าว ..มีคนเข้าไปมากมาย ก็กระแสอารมณ์ ไหลวนอยู่ที่นั้นมากมาย..มันเป็นหมอกควัน สีดำ ปกคลุม ไปทั่วบริเวณนั้น อากาศในสถานที่นั้น เราไปสูดดม ..มันก็ไหลเข้ามาเกาะติดในเรือนกาย
นี่ยังมีเรื่องราวขิงคนที่สักยันต์ เดืนไปเดินมาอีก ..เรื่องราวเหล่านี้ ..มันก็ไม่สามารถ จะไปยอกใครเค้าได้ เพราะเค้าหลงใหล ว่าเป็นของดี เค้าไม่รับรู้เลยว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นโคลมตมปกปิดจิตของเค้า .
เรื่องของการเรียนรู้จัก กายอารมณ์จิต เรื่องราวการสร้างบุญบารมี หนีกรรม ..คำว่า หนีกรรม นั้น เมื่อเรารู้จัก กรรม ..เราก็หนี ..สิ่งที่จะเพิ่มพูนกรรม เราหนี..ด้วยการเพียร หมั่นสร้างบุญกุศลบารมีตามรอยคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วความเพียรพยายามของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันเลย ก็ได้แต่บอกว่าให้หมั่นเพียรสร้างบุญกุศลบารมี ฝึกหัดทำที่หน้าหิ่งพระน้อยๆ ของเรา
สิ่งที่พระ ท่านสอนเรา เวลาไปที่ไหน ออกจากบ้าน ไปทำงาน จะเข้าที่ทำงาน เดินทางคิดนั่น คิดนี่ พอจะถึงที่ทำงาน ก็ต้องเปลี่ยนไปคืด เรื่องงาน ..สิ่งที่คิดไปตลอดทาง .นั้น ..มันก็จางหายไป ..แต่นั้น มันเหมือนสลายไป ..แต่ที่จริงมันก็มีอารมณ์ค้างคา สะสมลงไปที่ธาตุทั้งสี่
ท่านจึงบอวว่า ให้ฝึกหัด พูดให้หูเร่ได้ยิน ทำกายนิ่ง จิตเฉย ..บอกตัวเองพูดให้หูเร่ได้ยินเสียงตัวเอง กายนิ่ง จิตเฉย..จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในกายของคุณบิดามารดา ..จิตข้าพเจ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึง (พระสงฆ์ไม่ใช่ภิกษุ ขอนิสัย แต่เป็นพระอรหันต์อัครสาวก เช่นพระโมคคัลา พระสารีบุตร พระอานนท์ พระสีวลี ) บอกตัวเอง ให้จิตบันทึก เสียงตัวเองลงไปที่ธาตุทั้งสี นำสิ่งที่ดีๆ เข้ามาในกายในจิต ..เข้ามาในบ้านที่จิตของเราอาศัย
โฆษณา