10 มี.ค. เวลา 01:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ

กระจายความเสี่ยง (Diversification) ทำไมสำคัญ และต้องทำอย่างไร?

เคยได้ยินคำว่า "อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว" ไหม? ถ้าตะกร้านั้นหล่น ไข่ทั้งหมดก็จบกัน! การลงทุนก็เหมือนกัน ถ้าเราทุ่มเงินทั้งหมดลงในสินทรัพย์ตัวเดียว แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมัน นั่นอาจหมายถึง เงินหายวับไปกับตา
ทำไมการกระจายความเสี่ยงถึงสำคัญ?
ลองนึกภาพว่าเรามีเงิน 100,000 บาท แล้วเอาไปลงทุนทั้งหมดในหุ้นของบริษัทเดียว ถ้าบริษัทนั้นเจอวิกฤต หุ้นร่วงลง 50% นั่นหมายความว่าเงินของเราหายไป ครึ่งหนึ่ง! แต่ถ้าเราแบ่งเงินออกไปลงทุนในหุ้น 5-10 ตัว หรือกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ อย่างพันธบัตร กองทุนรวม หรือทองคำ แม้บางส่วนจะขาดทุน แต่ส่วนอื่นก็อาจยังเติบโตได้
แล้วเราควรกระจายการลงทุนอย่างไร?
• กระจายไปในหลายสินทรัพย์ (Asset Classes)
• หุ้น (Stocks)
• พันธบัตร (Bonds)
• อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
• ทองคำ (Gold)
• กองทุนรวม (Mutual Funds)
• กระจายไปในหลายอุตสาหกรรม
ถ้าลงทุนแค่หุ้นก็ควรเลือกหุ้นจากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี,การเงิน,พลังงาน, สุขภาพ ฯลฯ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบหนักจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมเดียว
• กระจายไปในหลายประเทศ
บางครั้งเศรษฐกิจของประเทศหนึ่งอาจซบเซา แต่ประเทศอื่นยังเติบโตได้ เช่น ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ จีน หรือยุโรป เพื่อกระจายความเสี่ยง
ตัวอย่างง่ายๆ ของการกระจายพอร์ต
หากคุณมีเงิน 100,000 บาท แทนที่จะใส่ทั้งหมดในหุ้นเดียว อาจแบ่งเป็น
✅ 50,000 บาท ลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ๆ หลายอุตสาหกรรม
✅ 20,000 บาท ลงทุนในกองทุนรวม
✅ 15,000 บาท ลงในพันธบัตรรัฐบาล
✅ 10,000 บาท ซื้อทองคำ
✅ 5,000 บาท เป็นเงินสดสำรอง
แบบนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตลาด พอร์ตของคุณก็จะยังมีโอกาสรอด
คุณกำลังลงทุนแบบไหนอยู่?
ลองสำรวจพอร์ตของตัวเองดูว่า มีการกระจายความเสี่ยงดีพอหรือยัง? หรือคุณกำลัง "ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว" อยู่? คอมเมนต์มาแชร์กันได้นะ!
#การลงทุน #กระจายความเสี่ยง #SeamanInvestor #ลงทุนง่ายๆ #เงินทำงาน #หุ้น #กองทุน #ออมเงิน #Seaman #TKMoments #seamanlife
โฆษณา