10 มี.ค. เวลา 16:11 • หนังสือ

Uprooted ป่ากลืนวิญญาณ

Uprooted หนึ่งมนตรา ร้อยราก พันวิญญาณ รีปริ้นอีกครั้งโดย น้ำพุสำนักพิมพ์ ในชื่อ #ป่ากลืนวิญญาณ พร้อมด้วยหน้าปกปั๊มฟอยล์สีฉูดฉาดที่แตกต่างคนละขั้วกับปกเก่าที่ดูเรียบง่ายทว่าขรึมขลัง เล่มนี้อยากได้มาตั้งแต่ตอนเป็นปกเก่า แต่ลีลาเยอะจนมันหายากมากๆ อ่านจบแล้วก็ยิ่งดีใจที่สำนักพิมพ์เอามาพิมพ์ซ้ำ เป็นนิยายแฟนตาซีดาร์กๆที่ใครชอบสายนี้ควรได้อ่านสักครั้ง
การดำเนินเรื่องจะเล่าผ่านมุมมองของ "แอ็กเนียชกา" เด็กสาวกะโปโลแสนซนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางหุบเขาใกล้กับชายป่าภายใต้การปกครองของ "จอมเวทมังกร" ในทุก 10 ปีจอมเวทจะเลือกเด็กสาวหนึ่งคนจากบรรดาหมู่บ้านทั้งหมดไปอยู่ด้วยที่หอคอย ไม่มีใครรู้เกณฑ์ในการคัดเลือกของจอมเวท รวมถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นหลังจากถูกพาตัวไป พวกเขารู้แค่เพียงว่าเมื่อครบกำหนดเด็กสาวจะถูกปล่อยตัวออกมาอีกครั้ง แต่ไม่เคยมีสักคนที่กลับมาอาศัยในหมู่บ้าน
สิ่งสำคัญคือจอมเวทมักจะเลือกคนที่ดูพิเศษสุดเสมอ ครอบครัวของแอ็กเนียชกาจึงไม่ได้กังวลมากนักเมื่อเธออายุถึงเกณฑ์ในช่วงเดียวกับการคัดเลือกครั้งใหม่พอดี เพราะคราวนี้มี "คาสชา" เด็กสาวผู้งามพร้อมทุกด้านจนไม่ว่าใครก็ลงความเห็นว่าเธอจะต้องเป็นคนที่จอมเวทพาตัวไปอย่างแน่นอน แต่แล้วเรื่องราวก็กลับพลิกผันเมื่อจอมเวทเลือกแอ็กเนียชกาไปแทน
สิ่งที่เธอไม่รู้ในตอนนั้นคือตัวเธอเองมีเวทมนตร์แฝงอยู่ และนั่นคือสิ่งที่จะช่วยให้จอมเวทมังกรต่อกรกับ "พงไพร" จิตวิญญาณชั่วร้ายที่สถิตอยู่ในผืนป่า คอยลักพาผู้คน หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความวิปริต แพร่เชื้อร้ายเข้าสู่หัวใจของสิ่งมีชีวิตที่มันสัมผัส และเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นปีศาจร้ายที่กระหายการเข่นฆ่า แอ็กเนียชกาจะต้องหาวิธีในการดึงพลังที่เธอมีออกมาใช้ให้เร็วที่สุด พร้อมกับหาหนทางปกป้องตัวเองให้รอดพ้นเงื้อมมือของพงไพร
เพราะตอนนี้อะไรก็ตามที่ควบคุมพงไพรอยู่กำลังเริ่มแผนการใหญ่ที่ตระเตรียมมาเนิ่นนานแล้ว ความเน่าเฟะเริ่มแผ่ขยายลุกลาม คนที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของมันล้วนถูกใช้ร่างในการก่อเรื่องเลวร้าย และถ้ามันได้ตัวแอ็กเนียชกาไปล่ะก็ อำนาจใดในโลกนี้ก็มิอาจหยุดยั้งพงไพรจากการกลืนกินทุกสรรพสิ่งให้่สูญสิ้นได้อีกแล้ว
เป็นนิยายแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยฉากระทึกขวัญตลอดเรื่อง เพราะเจ้าพงไพรนี่มันหลอกเก่งสุดๆ หลอกซ้ำหลอกซ้อน รอให้ตายใจแล้วค่อยขย้ำ เลยทำให้ตัวละครแต่ละตัวในเรื่องนี้มีพื้นฐานเป็นการไม่ไว้ใจคนอื่น จนสุดท้ายความรู้สึกนี้ของแต่ละคนก็มาระเบิดเอาตอนท้ายเล่ม ทำให้ทุกอย่างปั่นป่วนกันไปมากกว่าเดิม แล้วนางเอกนี่ก็บ้าบิ่นมาก ตัวเองยังคุมเวทมนตร์ได้ไม่ดีด้วยซ้ำ แต่เปิดหน้าสู้กับพงไพรทั้งเรื่อง แทบไม่ได้พักหายใจหายคอกันเลย กลัวนางจะตายเอา
สิ่งที่น่าติดตามที่สุดคงหนีไม่พ้นปมเรื่องจุดกำเนิดของพงไพร คือตลอดเล่มเราจะได้สัมผัสแต่มุมที่โหดเหี้ยมและแค้นคลั่งของมัน เสมือนว่าจู่ๆป่าไม้ที่ควรจะเป็นที่พักพิงให้กับผู้คนก็เลือกที่จะกลืนกินอารยธรรมมนุษย์เอาเสียดื้อๆ ทั้งที่จริงแล้วก็พอเดาได้ตามสไตล์นิยายแนวนี้แหละว่าพงไพรต้องเคยถูกกระทำด้วยน้ำมือของมนุษย์มาก่อนแน่ๆ แต่จะเป็นในลักษณะไหนนั้นลองไปติดตามกันดูค่ะ 😉
งั้นข้าก็ไม่อยากมีหัวคิดมากกว่านี้! ถ้าการมีหัวคิดหมายถึงต้องเลิกรักใครๆ โลกนี้จะยังมีอะไรที่มีค่าให้เรายึดเหนี่ยวอีกนอกจากผู้คน
ตอนอ่านจบประโยคนี้ก็แอบคิดนะว่านางเอกควรมีหัวคิดกว่านี้จริงๆนั่นแหละ 🤣 แต่ก็เข้าใจว่าธรรมชาติของมนุษย์คือการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดความรู้สึกผูกพันกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่แอ็กเนียชกาเติบโตมาที่ทุกคนต้องคอยดูแลปกป้องกันให้รอดพ้นจากพงไพร ซึ่งเป็นการกระทำที่ยิ่งส่งผลให้พวกเขากลมเกลียวกันมากขึ้น ดังนั้นแล้วการที่เธอเป็นห่วงเป็นใยคนในหมู่บ้าน และพยายามจะช่วยเหลือพวกเขาด้วยพละกำลังที่ตนพอจะมีจนดูวู่วามไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
กลับกันกับเหล่าจอมเวทที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานจนใกล้เคียงกับคำว่าอมตะ ทุกคนที่พวกเขารักล้วนล้มหายตายจากไปนับร้อยปีแล้ว กลุ่มคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็มีเพียงแค่จอมเวทด้วยกันที่ต่างคนต่างก็มีกำลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้ ไม่เหลือใครที่ทำให้พวกเขารู้สึกห่วงหาอีกแล้ว การตัดสินใจในแต่ละครั้งจึงไม่มีอารมณ์มาเจือปน และอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลทั้งสิ้น แต่โลกนี้จะไม่แห้งแล้งเกินไปหรืออย่างไรหากทุกคนเลิกใช้หัวใจกันไปหมด
แม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วการใช้เหตุผลจะพาเราไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องเหมาะควร แต่ถูกต้องก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป มนุษย์นั้นซับซ้อนและหลากหลายเกินกว่าที่กฎเกณฑ์ใดๆจะถูกนำมาตัดสินการกระทำของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ เราเป็นคนที่รักในความถูกต้องมาเสมอ แต่ก็เชื่อเช่นกันว่าสังคมที่ยึดมั่นในระเบียบมากจนเกินไปไม่ได้สร้างคนดี ผลผลิตเพียงอย่างเดียวของสังคมเช่นนี้คือมนุษย์ที่ไม่รู้จักรับผิดและคอยแต่จะตัดสินผู้อื่น จากมุมมองของเราแล้ว พิษร้ายทางความคิดนี้น่ากลัวกว่าสิ่งชั่วช้าใดๆในพงไพรเสียอีก
เล่มค่อนข้างหนา เนื้อหาค่อนข้างหนัก แต่หากคุณเป็นแฟนนิยายแฟนตาซี หนังสือเล่มนี้ก็ควรค่าแก่การอ่านสักครั้ง ส่วนตัวรู้สึกว่ามันมีความยืดเหมือนหาที่จบไม่ลงนิดหน่อยในช่วงท้าย แล้วพอถึงบทสรุปก็คือทุกอย่างง่ายมากจนงงไปหมด แต่ในภาพรวมก็ยังสนุกอยู่ ใครไม่อยากรอช่วงงานหนังสือ จัดกันก่อนได้ที่ 👉🏻 https://s.shopee.co.th/3fpS9gldK6
ปล.วันนี้มาแบบสั้นๆ (?) พอค่ะ หมดพลังไปกับงานแล้ว แต่ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไปแหละนะ 😅
โฆษณา