Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Patima Vipittassana
•
ติดตาม
11 มี.ค. เวลา 07:49 • ท่องเที่ยว
นะริตะ
39
ความสะดวกสบายของระบบตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นทำให้ผมผ่านด่านต่าง ๆ มาแบบง่ายดาย เวลาเกือบ ๆ บ่ายสามแล้วผมเดินผ่านป้ายที่มีรูปเหล่าโปเกม่อนพร้อมประโยคเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่เสมอเวลามาถึงญี่ปุ่น
“Welcome to Japan”
ด้วยความที่มาถึงญี่ปุ่นวันแรกก็เย็นแล้ว ผมวางแผนมาว่า วันที่ถึงญี่ปุ่นวันแรกผมจะนอนสนามบินนาริตะ แต่ดีหน่อยที่สนามบินนาริตะจะมี North Waiting Area เป็นที่นอนรวมกว้าง ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ทางเข้าลึกลับหน่อย ผมลองเดินตามในเว็บไซต์ที่เขียนไว้เมื่อเกือบห้าปีแล้ว ผมเดินหาอยู่พักนึง เหมือนจะเจอแต่ก็ไม่ อยู่ตรงไหนวะ ผมลองตั้งสติและมองตรงไป เดินวนมาจุดนี้หลายรอบแล้ว แต่ที่ไม่เห็นคือ มันไม่มีแล้ว! ทางเข้าบอกว่าปิดปรับปรุง ป้ายก็ถูกลบด้วยกระดาษสีดำ เหมือนทำให้ที่นี่ไม่เคยมีอยู่
นอนบนเก้าอี้อีกแล้วสินะ เอาเถอะ ยังดีที่เก้าอี้ในสนามบินนาริตะไม่มีที่พักแขน ยืดตัวได้ยาว ๆ ผมเลิกคิดเรื่องนี้ และตั้งใจว่าเวลาสั้น ๆ ก่อนค่ำผมจะออกไปเที่ยวที่ใกล้ ๆ ก่อนกลับมาหาที่นอนในสนามบินนี้
ผมดิ่งไปฝากกระเป๋าในตู้ล็อคเกอร์ก่อนไปสถานีรถไฟ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมตื่นเต้นและรอคอยคือการที่ผมจะได้ใช้ข้อมือในจับจ่ายใช้สอย!
หลายคนรู้จัก IC CARD บัตรที่เราสามารถแตะเพื่อซื้อของในคอมบินิ หรือเข้า-ออกสถานีรถไฟโดยการเติมเงินในบัตรไปก่อน เป็นระบบที่สะดวกสบายสำหรับคนญี่ปุ่นเองหรือนักท่องเที่ยวก็ตาม
ผมว่าแค่นี้มันสะดวกแล้ว แต่ถ้าไม่ต้องหยิบบัตรขึ้นมาแตะเลย มันจะไม่สะดวกกว่าอีกเหรอ?
ผมรู้มาว่าเราสามารถให้ Apple Watch เป็นเหมือนตัวบัตรได้เลย แค่ยื่นข้อมือไป แตะ จ่าย จบ ก่อนมาผมลงทะเบียนสมัครบัตรลงนาฬิกาแบบง่ายดาย ไม่ต้องมีมัดจำใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ผมรู้สึกว่าการล้วงเข้ากระเป๋าเพื่อหยิบบัตรมาแตะ กลายเป็นเรื่องลำบากไปเลย
ผมมีบัตร IC บนข้อมือแล้ว ที่เหลือคือการเติมเงินเข้าไป ที่ตู้ซื้อตั๋วรถไฟสามารถเติมเงินได้เลย ผมลองเติมก่อนสองพันเยน วางนาฬิกา ใส่เงิน จบ ผมมีเงินบนข้อมือแล้ว แตะเดินเข้าสถานีแบบชิล ๆ ให้ความรู้สึกหล่อเท่ดีจริง ๆ
ผมมาถึงเมืองนาริตะ เมืองเล็ก ๆ ใกล้สนามบิน เวลาเกือบสี่โมงเย็น ผมเดินทอดน่องไปตามย่านการค้าที่ค่อนข้างคึกคักแบบสบายไม่เบียดเสียด ทะลุมาถึงวัดนาริตะ ที่ผู้คนไม่หนาแน่นนักในบริเวณลานกว้างด้านล่าง แต่ด้านบนมีคนจำนวนหนึ่งมาถ่ายรูปกับโคมขนาดใหญ่ที่ทำให้นึกถึงโคมแดงงในโตเกียว แต่ที่นี่ใหญ่กว่าและเป็นสีขาว
เดินเยื้องออกมาฝั่งขวา ผมไปถ่ายรูปเจดีย์ห้าชั้น หันหลังไปเจอบันไดทางลงพร้อมวิวเมืองด้านล่างที่ธรรมดาไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะไม่ได้สูงมากพอ แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า กลับมาแล้วนะ ญี่ปุ่น ด้วยบรรยากาศที่คุ้นเคย ทำให้ผมเหมือนได้กลับมาบ้านอีกหลังของผม
ผมเดินกลับและลองแวะไปสวนสาธารณะของเมืองที่อยู่ใต้รางรถไฟ มีคนกลุ่มหนึ่งมาปูเสื่อปิกนิกใต้ต้นซากุระที่ยังเป็นดอกตูม ผมเดาว่าคนกลุ่มนี้คงนัดวันที่จะมานั่งคุยและร่วมประเพณีชมดอกไม้กันมาก่อนแล้ว แม้เมื่อถึงวันนัดจะไม่มีดอกไม้ให้ชมก็ตาม ผมนั่งบนเก้าอี้อยู่อีกฟาก เหลือบมองดู พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมแอบยิ้มตามและคิดในใจ ดอกซากุระคงไม่จำเป็นแล้วสำหรับตอนนี้
ผมเริ่มเห็นการร่ำลากัน จากกลุ่มที่มีสี่ถึงห้าคน เหลือสองถึงสามคน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นญาติ เป็นเพื่อน หรืออาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่เมื่ออยู่บนเสื่อผืนเดียวกัน ได้หัวเราะไปด้วยกัน ผมมองว่าคงไม่ต่างอะไรกับครอบครัว
พวกเขาเก็บเสื่อแล้วเดินออกจากสวนไปแล้ว เหลือเพียงผมคนเดียวในสวนที่ยังคงนั่งมองบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อยเปื่อย ดีจังเลยที่ประเทศนี้มีสวนสาธารณะกระจายอยู่ทั่วเมืองไม่ว่าเมืองจะเล็กใหญ่แค่ไหน ผมไม่ค่อยได้เข้าสวนสาธารณะเท่าไหร่เพราะแถวบ้านไม่มี การมาญี่ปุ่นเลยทำให้ผมชอบการเข้าสวนสาธารณะเป็นพิเศษ พื้นที่ส่วนกลางที่ไม่ต้องเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทำให้ได้เห็นผู้คนรอบตัวชัดเจนขึ้น
ผมลืมว่าท้องผมว่างมานานตั้งแต่มื้ออาหารบนเครื่อง ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าผมขี้เกียจหาร้านอาหาร หรือเพราะคิดถึงคอมบินิกันแน่ ผมเลือกซื้อข้าวปั้นใส่เนื้อ กับไก่ Famichiki หนึ่งชิ้นในแฟมิลี่มาร์ทกินเป็นมื้อเย็น ท่ามกลางเหล่านักเรียน พนักงานออฟฟิศที่เดินผ่านไปมา ผมนั่งกินบริเวณม้านั่งหน้าทางเข้าสถานีนาริตะ (Narita station) ที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่กระทบกับพื้นไม่หยุดหลังผู้คนจบภาระหน้าที่ของวันนี้ และกำลังกลับบ้านกัน
รถไฟพาผมมาส่งที่สนามบินนาริตะอีกครั้ง นักท่องเที่ยวจอแจบริเวณชานชะลาเพื่อหาทางเข้าเมือง ตรงกันข้ามกับผมที่เลือกจะใช้ชีวิตที่นี่ในคืนนี้ ผมเดินฝ่าฝูงชนเพื่อเตรียมหาที่ซุกหัวนอน ระหว่างเดินผมเผอิญเห็นผู้ชายคนนึงที่ใส่สูทดูดีมีภูมิฐานทำเอกสารใบนึงตกจากเอกสารหลายใบบนมือเขา ผมสะกิดเขาด้วยความที่ผมแน่ใจว่าเขาไม่รู้ตัว พร้อมหยิบเอกสารบนพื้นที่ตกคืนให้เขา และเหตุการณ์ธรรมดาต่อมาจะเป็นวินาทีที่ผมไม่ลืมไปตลอดชีวิต
เขาหันมาสบตากับผมพร้อมรับเอกสารในมือผมไป แววตาของเขาเริ่มเปล่งประกายและใช้มือขวาแตะบริเวณแขนซ้ายของผม พร้อมพูดว่า ซังคิว ซังคิว! ผมเข้าใจความหมายว่าเขาตั้งใจพูดว่า Thank You ในแบบสำเนียงญี่ปุ่น แววตาของเขาที่ยังคงเปล่งประกายไปด้วยความขอบคุณ เขาขอบคุณผมอย่างจริงใจที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ผมเคยได้รับ ผมตกใจก่อนจะพูดประโยคง่าย ๆ ไปว่า ไฮ่ ไฮ่! เรายิ้มให้กันก่อนแยกย้ายกันไป
ผมเอากระเป๋าออกจากตู้ล็อคเกอร์ที่ฝากไว้ก่อนเดินหาที่ซุกหัวนอนเหมาะ ๆ คืนนี้ผมอาจจะพอนอนได้หลังจากที่นอนไม่ค่อยหลับเมื่อคืน พร้อมเผลอสงสัยว่าเอกสารใบนั้นจะเป็นแค่เอกสารธรรมดาที่จะพิมพ์ใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ หรือเป็นเอกสารที่ถ้าหายไปอาจเปลี่ยนชะตาชีวิตชายคนนั้นไปตลอดกาล ผมคงไม่มีทางรู้คำตอบนั้นไปตลอดชั่วชีวิต
แต่อย่างน้อยผมก็ได้ยื่นมือไปช่วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
เที่ยวญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น
ท่องเที่ยว
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย