Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
การประเมินมูลค่าสตาร์ตอัป และบริษัทเทคโนโลยี ที่ยังไม่มีกำไร
การประเมินมูลค่าบริษัท เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ประกอบกัน
ดังนั้น จึงมีวิธีการประเมินหลายแบบ หลายวิธี
และแต่ละคน ก็อาจนำไปประยุกต์ใช้แตกต่างกันตามความเหมาะสม
โดยทั่วไป วิธีการที่นักลงทุน นิยมใช้ประเมินมูลค่าบริษัททั่วไปที่ไม่ใช่สตาร์ตอัป คือจะใช้ Price-To-Earnings Ratio (P/E) หรือ อัตราส่วนมูลค่าตลาดต่อกำไร
เช่น เชนร้านอาหารแห่งหนึ่ง สร้างกำไรได้ 100 ล้านบาท ในปีล่าสุด
ซึ่งสมมติว่า ธุรกิจร้านอาหารในตลาดหุ้น จะมี P/E เฉลี่ยประมาณ 15 เท่าของกำไร
ดังนั้น เชนร้านอาหารแห่งนี้ จะมีมูลค่าบริษัทที่ 1,500 ล้านบาท
แต่สำหรับบริษัทสตาร์ตอัป หรือบริษัทเทคโนโลยี
ที่ส่วนใหญ่ช่วงแรกของธุรกิจ จะไม่มีกำไร เพราะต้องเร่งลงทุนและทำการตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้า ฐานผู้ใช้งาน และครองส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น โมเดลธุรกิจของสตาร์ตอัป อาจเน้นที่สร้างการเติบโตเป็นหลักก่อน ยังไม่ยึดติดกับการทำกำไร
เหมือนกับ Airbnb, Grab, Shopee, Lazada ที่ยอมขาดทุนมหาศาล
เพื่อหวังการเติบโตของธุรกิจ และกำไรในอนาคต
เหมือนอย่าง Facebook และ Amazon ที่ช่วงแรก ๆ ธุรกิจขาดทุน
แต่สุดท้ายบริษัทก็กลายเป็นเจ้าตลาด และทำกำไรได้อย่างมหาศาลในแต่ละปี
ซึ่งการประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ตอัป หรือบริษัทเทคโนโลยี ที่ยังไม่ทำกำไร จึงใช้อัตราส่วน P/E ไม่ได้ แต่จะนิยมใช้วิธีอื่น ๆ มากกว่า เช่น Price-To-Sales Ratio (P/S) หรือ มูลค่าตลาดต่อรายได้
หรืออีกวิธีคือ Enterprise Value-To-Sales Ratio (EV/S) หรือ มูลค่ากิจการต่อรายได้
โดย Enterprise Value (EV) = มูลค่าตลาด + หนี้สินรวม - เงินสด
(แต่ถ้าบางบริษัท แม้ยังไม่มีกำไรสุทธิ แต่มีค่า EBITDA เป็นบวก ก็อาจใช้อัตราส่วน EV/EBITDA ในการประเมินมูลค่าแทนได้)
ตัวอย่างเช่น สตาร์ตอัปด้าน AI แห่งหนึ่ง สร้างรายได้อยู่ที่ 100 ล้านบาท ในปีล่าสุด
ซึ่งสมมติว่า นักลงทุนประเมินให้ธุรกิจแห่งอนาคตแบบนี้ มีค่า P/S อยู่ที่ 10 เท่าของรายได้
ดังนั้น สตาร์ตอัปแห่งนี้ จะมีมูลค่าบริษัทราว 1,000 ล้านบาท
จะสังเกตได้ว่า ทั้งวิธี P/S และ EV/S จะให้ความสำคัญกับ “รายได้” ในการประเมินมูลค่าบริษัท
ซึ่งต่างจากวิธี P/E ที่ให้ความสำคัญกับตัว “กำไร”
วิธี P/S และ EV/S จึงเหมาะสำหรับใช้ประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ตอัปมากกว่าวิธี P/E เนื่องจากบริษัทสตาร์ตอัปส่วนใหญ่ อาจยังไม่ทำกำไรนั่นเอง
แต่ทุกวิธีข้างต้น จะมีสิ่งที่เหมือนกันคือ ยิ่งบริษัทมีศักยภาพทางธุรกิจสูง
เช่น มีอัตราการเติบโตของรายได้และผู้ใช้งานสูง, มีเทคโนโลยีล้ำหน้า, มีแววผูกขาดตลาด, มี Network Effect ฯลฯ
นักลงทุนก็จะให้ค่า P/E, P/S และ EV/S ที่ยิ่งสูง และทำให้มูลค่าบริษัทสูงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่สามารถใช้ประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ตอัป หรือบริษัทเทคโนโลยี ที่ยังไม่มีกำไรได้ เช่น
วิธี Discounted Cash Flow (DCF) หรือ คิดลดกระแสเงินสด
ถึงบริษัทจะไม่มีกำไร แต่หากกระแสเงินสดของธุรกิจยังเป็นบวก
ก็นำวิธีประเมินมูลค่าบริษัทแบบ DCF มาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน
วิธีคือ การคาดการณ์กระแสเงินสด ที่บริษัทจะทำได้ทั้งหมดในอนาคต เช่น กระแสเงินสดอิสระ (FCF) แล้วคิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน
โดยกระแสเงินสดอิสระ คำนวณจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน - รายจ่ายลงทุน (CAPEX)
ส่วนอัตราคิดลด อาจใช้เป็น ต้นทุนถัวเฉลี่ยของเงินทุน (WACC) หรือ ผลตอบแทนคาดหวังที่นักลงทุนต้องการ
ทั้งนี้ สำหรับบริษัทสตาร์ตอัป มักมีความเสี่ยงที่สูงกว่าบริษัทใหญ่ ๆ
ดังนั้น นักลงทุนต้องใช้อัตราคิดลดที่สูงกว่าธุรกิจอื่น ๆ ในการประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ตอัปด้วย
เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจไม่คาดคิด และเพิ่มความปลอดภัยในการลงทุน เสมือนมี Margin of Safety ช่วยอีกแรง
และอีกหนึ่งวิธีประเมินมูลค่าที่นิยมใช้ ก็คือ วิธีเปรียบเทียบคุณสมบัติหรือตัวเลขบางอย่างกับบริษัทอื่น ที่มีธุรกิจใกล้เคียงกัน เช่น ใช้เกณฑ์จำนวนผู้ใช้งาน มาเปรียบเทียบมูลค่า
ยกตัวอย่างคือ
Meta มีจำนวนผู้ใช้งานต่อวัน (Daily Active Users) ของแพลตฟอร์มในเครือรวมกัน 3,350 ล้านคน
โดย Meta มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 54 ล้านล้านบาท
ในขณะที่ TikTok มีจำนวนผู้ใช้งานอยู่ราว ๆ 1,600 ล้านคน
ดังนั้น TikTok ที่มีจำนวนผู้ใช้งานคิดเป็นครึ่งหนึ่งของ Meta
นักลงทุนก็อาจประเมิน TikTok ไว้ว่า ควรมีมูลค่าบริษัทประมาณ 27 ล้านล้านบาท หรือน้อยกว่านั้น
หรืออีกท่าหนึ่งคือ การคิดย้อนกลับ
เช่น OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ตอนนี้มีผู้ใช้งานราว 400 ล้านคน
และ OpenAI ถูกประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ 11.5 ล้านล้านบาท
แสดงว่า จำนวนผู้ใช้งาน 1 คน จะเทียบเท่ากับมูลค่า 28,750 บาท
ดังนั้น คู่แข่งอย่างเช่น DeepSeek ที่มีจำนวนผู้ใช้งาน 22 ล้านคน
ก็อาจประเมินว่า ณ ตอนนี้ มูลค่าบริษัทไม่ควรเกิน 0.6 ล้านล้านบาท (28,750 บาท * 22 ล้านคน)
แต่ต้องหมายเหตุว่า วิธีการเปรียบเทียบแบบนี้ ต้องคำนึงเสมอว่า แต่ละบริษัทที่นำมาเทียบกัน อาจมีโมเดลและปัจจัยอื่นทางธุรกิจแตกต่างกัน
จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ตรง ๆ 100% แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเดียวกันก็ตาม
สำหรับวิธีสุดท้ายก็คือ วิธีเปรียบเทียบกับมูลค่าตลาด
เช่น ตลาดโฆษณาออนไลน์ในประเทศหนึ่ง มีมูลค่าอยู่ที่ 30,000 ล้านบาทต่อปี
โดยสตาร์ตอัป A คาดว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดโฆษณาออนไลน์ได้ 30% และจะมีอัตรากำไรที่ 20%
ดังนั้น บริษัทจะมีกำไรอยู่ที่ 30,000 x 30% x 20% เท่ากับ 1,800 ล้านบาท
ถ้าเอากำไรไปคูณกับค่า P/E เช่น 25 เท่าของกำไร (เทียบค่า P/E ของบริษัท Meta ในปัจจุบัน)
สตาร์ตอัปแห่งนี้ จะถูกประเมินมูลค่าบริษัทที่ราว 45,000 ล้านบาท
สรุปแล้ว การประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ตอัป หรือบริษัทเทคโนโลยี
จะมีหลายสูตร หลายวิธีการ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกวิธีไหน มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับโมเดลและประเภทของธุรกิจ
ซึ่งผลลัพธ์ของการประเมินที่ได้ ก็จะออกมาแตกต่างกันไป ตามความเหมาะสมของสภาพธุรกิจ อุตสาหกรรม และตามมุมมองของนักลงทุนแต่ละคน..
หุ้น
การลงทุน
ธุรกิจ
9 บันทึก
12
6
9
12
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย