Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
TeeorFam. เรื่องสั้น ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา
•
ติดตาม
11 มี.ค. เวลา 12:43 • ประวัติศาสตร์
ยันตระ อมโรภิกขุ
การเติบโต การล่มสลาย และมรดกอันขัดแย้งของอดีตพระภิกษุไทย
ดร.ทรงพล เทอดรัตนเกียรติ เรียบเรียง
วินัย ละอองสุวรรณ หรือที่รู้จักในนาม พระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) เป็นอดีตพระภิกษุชื่อดังที่เคยมีผู้ศรัทธาจำนวนมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ก่อนที่จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดพระวินัย จนต้องพ้นจากความเป็นพระภิกษุและลี้ภัยไปอเมริกา
ล่าสุด เขาได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 ในวัย 73 ปี หลังจากการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับสถานะและพฤติกรรมของเขา เรื่องราวของเขายังคงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความศรัทธา ความล้มเหลว และการตีความในพระพุทธศาสนาของสังคมไทย
ชีวิตในวัยเยาว์และเส้นทางสู่การบวช
นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในภาคใต้ของประเทศไทย[1] ก่อนที่จะเข้าสู่การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง[1] การเข้าสู่สถานะนักบวชอย่างไม่เป็นทางการในช่วงแรกนี้ได้สร้างรากฐานให้กับชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้แสวงหาทางธรรม
ในที่สุด วินัยได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุอย่างเป็นทางการในนิกายธรรมยุต เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช[1][2] หลังจากการบวช เขามักใช้คำแทนตัวว่า "พระยันตระ" ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ไกลจากกิเลส" ซึ่งเป็นชื่อที่เขาใช้มาตั้งแต่ยังเป็นฤๅษียันตระ[1][2] ชื่อนี้สื่อถึงอุดมคติและภาพลักษณ์ที่เขาพยายามสร้างขึ้นสำหรับตัวเองในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด
การเติบโตสู่ความมีชื่อเสียง
ภายหลังการอุปสมบท พระยันตระเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง มีผู้ศรัทธาจำนวนมากบวชตามเพื่อเข้าเป็นลูกศิษย์[1] ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามและการเทศนาด้วยน้ำเสียงไพเราะ เนื้อหาจับใจ ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว[3] มีการเปรียบเทียบภาพของเขานั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ว่ามีความคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระดับความศรัทธาอันสูงส่งที่ผู้คนมีต่อเขา[6]
พระยันตระมักจะมีพระสงฆ์แวดล้อมคอยอุปัฏฐากอยู่เสมอ และผู้มีศรัทธาได้สร้างสำนักวัดถวายเขาหลายแห่ง[1] ทุกวัดที่สร้างในสำนักเขาจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ประกอบเสมอ สะท้อนถึงแนวทางการสอนที่เน้นหลักสุญญตา หรือความว่าง ตามหลักพระพุทธศาสนา[1] สำนักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ วัดป่าสุญญตาราม จังหวัดกาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามในต่างประเทศอีกหลายแห่ง รวมถึงในเมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย[1] แสดงให้เห็นถึงการขยายอิทธิพลของเขาในระดับนานาชาติ
คำสอนของพระยันตระเน้นแนวทางปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิชาการศาสนาว่ามีความสอดคล้องกับหลักคำสอนในพระไตรปิฎก[1] เขามีการตีพิมพ์เผยแพร่คำสอนและได้รับนิมนต์ไปเทศนายังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ[1] อิทธิพลของเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น
เรื่องอื้อฉาวและการล่มสลาย
แม้จะมีชื่อเสียงและได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง แต่ชีวิตของพระยันตระเริ่มพบกับความยากลำบากในปี พ.ศ. 2537 เมื่อเขาถูกฟ้องร้องในหลายข้อหาและถูกตั้งอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ อันเป็นหนึ่งในจตุตถปาราชิกาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ[1] สีกากลุ่มหนึ่งได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสมเด็จพระสังฆราชฯ และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาว่าเขาเดินทางไปเทศนาที่ทวีปยุโรป และระหว่างลงเรือเดินสมุทรมีความไม่เหมาะสมกับสมณเพศต่อสุภาพสตรี[1]
เรื่องราวความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเปิดเผยว่าพระยันตระล่อลวงหญิงสาวและมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงบนดาดฟ้าเรือเดินสมุทร ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ[2] โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหญิงคนหนึ่งชื่อนางจันทิมา ที่ถึงขั้นพาเด็กหญิงมาแสดงตัว อ้างว่าเป็นลูกของเธอกับยันตระ[2][6] มีหลักฐานที่ถูกนำเสนอต่อสาธารณะ เช่น ภาพถ่ายการใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยา และสุดท้าย นางจันทิมาได้ท้าให้พระยันตระตรวจดีเอ็นเอ[2][5] แต่พระยันตระไม่ยอมตรวจและยืนยันว่าถูกกลั่นแกล้ง[3]
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยสลิปบัตรเครดิตที่ญาติโยมบริจาคให้ และถูกนำไปใช้ในสถานบริการทางเพศที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์[2][5] มีหลักฐานในการเปิดโรงแรมและเช่ารถร่วมกับผู้หญิงเพียงสองต่อสอง[5] ในช่วงแรกที่มีการกล่าวหา สังคมยังไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อมีการขุดคุ้ยหลักฐานต่างๆ มากมาย พระยันตระยังคงยืนยันปฏิเสธ[5]
ในที่สุด มหาเถรสมาคมมีมติให้พระยันตระพ้นจากความเป็นพระภิกษุ[1][2][5] แต่เขาไม่ยอมรับมติดังกล่าว พร้อมปฏิญาณตนว่ายังมีสถานะเป็นภิกษุอยู่[2] ในวันที่ 30 มีนาคม 2538 เขาลาสิกขาแต่เปลี่ยนจากการห่มจีวรเป็นการห่มผ้าสีเขียวไข่กา ม้วนลูกบวบตลบไปทางขวา ซึ่งเป็นคนละด้านกับพระภิกษุทั่วไป[3] การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาได้รับฉายาในทางลบว่า "จิ้งเขียว" และ "สมียันดะ"[2][3][5]
การลี้ภัยและชีวิตในอเมริกา
หลังจากถูกดำเนินคดีในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระและดูหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช[3] นายวินัย ละอองสุวรรณ ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาในสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง[1][2][3] ในอเมริกา เขาได้เปิด "สำนักสุญญตารามที่เอสคอนดิโด้"[3] และดำเนินกิจกรรมทางศาสนาต่อเนื่องในรูปแบบของตัวเอง
ในช่วงยี่สิบปีที่อาศัยอยู่นอกประเทศไทย นายวินัยยังคงมีผู้ศรัทธาติดตาม แม้จะอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด[3] เขาได้สร้างชุมชนของตัวเองในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ที่ยังคงเคารพนับถือเขา แม้จะมีประวัติอันขัดแย้งในอดีต เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเขาที่ยังคงมีอยู่ แม้ในยามที่เผชิญกับการปฏิเสธจากสถาบันศาสนาหลักในประเทศไทย
การกลับสู่ประเทศไทย
หลังจากคดีหมดอายุความ นายวินัย ละอองสุวรรณ ได้เดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้งอย่างเงียบๆ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2557[1][2][3] เขาได้มาอาศัยอยู่ในอำเภอปากพนัง และยังคงมีการแต่งกายด้วยผ้าคล้ายจีวรที่มีทั้งสีกลักและสีเขียว ทับเสื้อแขนยาว ผมยาวสีขาวผูกรวบไว้ หนวดเคราขาวยาว รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์[1] ลักษณะนี้แตกต่างอย่างมากจากภาพลักษณ์เดิมของเขาในฐานะพระสงฆ์
ในการกลับมาครั้งนี้ อดีตพระยันตระได้เดินทางไปเยี่ยมอดีตพระอุปัชฌาย์ที่เคยเป็นผู้อุปสมบทให้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช[1] แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเชื่อมโยงกับรากเหง้าทางศาสนาเดิมของเขา แม้ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากสถาบันสงฆ์อย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม
การกลับมาประเทศไทยครั้งแรกของอดีตพระยันตระได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก[3] ในช่วงเวลานั้น สำนักงานพุทธศาสนาได้ยืนยันว่า แม้เขาจะยังถือศีล แต่ได้ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว เพราะทำผิดกฎบัญญัติ คือเสพเมถุน ทำให้ต้องปาราชิก[3]
นายประจิณ ฐานังกรณ์ ประธานกลุ่มธรรมาธิปไตย ได้แจ้งความดำเนินคดีกับอดีตพระยันตระในความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุ สามเณร หรือนักบวชในศาสนาโดยมิชอบ[3] เหตุผลที่เขาแจ้งความคือทนไม่ได้กับพฤติกรรมของอดีตพระยันตระที่เดินทางกลับประเทศไทยภายหลังหลบหนีคดีความต่างๆ จนคดีขาดอายุความ แต่กลับยังแต่งกายด้วยผ้าที่คล้ายจีวรพระสงฆ์[3]
การเดินทางกลับเข้าประเทศไทยในครั้งต่อมา
ภายหลังการกลับมาครั้งแรกในปี 2557 อดีตพระยันตระได้เดินทางกลับมาเยือนประเทศไทยอีกหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 2558 และ 2559 เขาได้กลับมาพบปะบรรดาญาติโยมที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างต่อเนื่อง[3] แสดงให้เห็นถึงการรักษาความสัมพันธ์กับผู้ที่ยังคงศรัทธาในตัวเขา
ในปี พ.ศ. 2564 เขาเดินทางกลับเข้าประเทศไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 และเข้ากักตัวเป็นเวลา 14 วันตามมาตรการควบคุมโรคโควิด-19[3] หลังจากนั้น เขาเดินทางไปยังอาศรมเกพลิตาโพธิวิหาร จังหวัดสระแก้ว โดยมีพระสงฆ์ แม่ชี และลูกศิษย์ มาร่วมต้อนรับอย่างคับคั่ง[3] เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนในวงการสงฆ์อีกครั้ง
เมื่อปรากฏภาพกลุ่มพระสงฆ์ก้มกราบอดีตพระยันตระที่นั่งบนเก้าอี้ในชุดกางเกงจีนและผ้าคลุมสีเขียว ซึ่งมีผมและหนวดเครายาว[3] ภาพเหล่านี้ได้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ผู้ที่ยังถือครองสมณเพศ ที่ไปกราบไหว้อดีตพระที่เคยมีมลทินทางศาสนา[4]
ล่าสุด ในเดือนตุลาคม 2566 อดีตพระยันตระได้เดินทางกลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้งเพื่อฉลองวันเกิดครบ 72 ปี[2] เขาได้จัดงานฉลองที่จังหวัดกาญจนบุรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ก่อนที่จะเดินทางมายังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชในวันรุ่งขึ้น[2] ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ เขาได้ออกพบปะชาวบ้านในตลาดปากพนังทุกวัน[2] เมื่อไปรับประทานอาหารที่ร้านบ้านชายคลอง เขาได้พูดกับชาวบ้านที่มาต้อนรับในทำนองคล้ายกับพระเทศนา บอกให้ทำตนเป็นคนดี ให้รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และพูดแต่สิ่งที่ดี[2][5]
ข้อถกเถียงและมรดกทางวัฒนธรรม
กรณีของอดีตพระยันตระเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในช่วงทศวรรษ 2530-2540 ซึ่งมีเรื่องราวอื้อฉาวระหว่างพระที่มีชื่อเสียงกับสีกาอยู่หลายกรณี[4] การเติบโตและการขึ้นมามีชื่อเสียงของอดีตพระยันตระอาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางวัฒนธรรมสำคัญอย่างน้อย 2 ชุดความคิดใหญ่ๆ คือ 'พระที่ดี' และ 'พระหล่อ'[4] ซึ่งเป็นชุดความคิดที่ถูกสร้างและผลิตซ้ำเพื่อปลูกฝังในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน
แม้ว่าจะมีผู้ที่ยังคงให้ความเคารพนับถืออดีตพระยันตระอยู่ แต่ก็มีผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเขาและผู้ที่ยังคงให้ความเคารพเขาเช่นกัน การถกเถียงเกี่ยวกับสถานะและบทบาทของเขาในสังคมไทยยังคงดำเนินต่อไป แม้ในช่วงท้ายของชีวิตเขา และอาจยังคงมีอยู่แม้หลังจากการเสียชีวิตของเขาในเดือนมีนาคม 2568
บทสรุป
ชีวิตของวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง จากการเป็นพระภิกษุที่มีผู้เคารพนับถือและศรัทธาอย่างมาก กลายเป็นบุคคลที่เผชิญกับข้อกล่าวหารุนแรงและต้องจากประเทศไทยไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเป็นเวลากว่ายี่สิบปี การกลับมาของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะได้รับการต้อนรับจากผู้ที่ยังคงศรัทธา แต่ก็สร้างความขัดแย้งและคำถามมากมายเกี่ยวกับความเหมาะสมในการปฏิบัติต่อเขา
กรณีของอดีตพระยันตระสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความเชื่อ ศรัทธา และการตีความในพระพุทธศาสนาในสังคมไทย รวมถึงความตึงเครียดระหว่างสถาบันศาสนาที่เป็นทางการกับรูปแบบการปฏิบัติทางศาสนาที่ไม่ได้อยู่ในกรอบดั้งเดิม การศึกษาเรื่องราวของเขาสามารถช่วยให้เราเข้าใจพลวัตของอำนาจ ความเชื่อ และการเปลี่ยนแปลงในพระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น และอาจเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับสังคมไทยในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันศาสนา ผู้นำทางศาสนา และศรัทธาของประชาชน
Citations:
[1] วินัย ละอองสุวรรณ - วิกิพีเดีย
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A2_%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93
[2] ประวัติ อดีตพระยันตระ เคยต้องคดีฉาว ลี้ภัยอเมริกา ล่าสุดกลับไทยฉลองวันเกิด ...
https://www.sanook.com/news/9075398/
[3] ย้อนรอย "อดีตพระยันตระ" กลับเยือนไทย หลังอาบัติปาราชิก คดีล่วงละเมิดเมถุน
https://www.youtube.com/watch?v=2-HA-xX6B-A
[4] ปรากฏการณ์ 'ยันตระ' ว่าด้วยการเติบโตและร่วงโรยของอดีตพระผู้โด่งดังแห่งยุค
https://thestandard.co/yantra-phenomenon/
[5] “อดีตพระยันตระ” กลับบ้านเกิดนครศรีฯ หลังฉลองวันเกิดครบ 72 ปี - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=_8aMZx1bDE8
[6] เปิดประวัติ "อดีตพระยันตระ" คือใคร หลังเกิดดราม่าพระสงฆ์กราบไหว้
https://www.youtube.com/watch?v=B7-KFf4EBz4
[7] เปิดประวัติ 'อดีตพระยันตระ' ก่อนดราม่า พระสงฆ์กราบไหว้ | - workpointTODAY
https://workpointtoday.com/politics-monk22/
[8] บทความและข่าว “พระยันตระ อมโรภิกขุ” ล่าสุด วันนี้ | ไทยรัฐออนไลน์
https://www.thairath.co.th/tags/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%20%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B8
[9] ย้อนประวัติ “อดีตพระยันตระ” ห่มเขียว กลับไทย เหล่าสงฆ์ก้มกราบไหว้ “พระพ ...
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/158947
[10] "อดีตพระยันตระ" เสียชีวิตแล้ว อายุ 73 ปี
https://www.thaipbs.or.th/news/content/350032
[11] อดีตพระยันตระ เสียชีวิตด้วยวัย 73 ที่แคลิฟอร์เนีย ลูกศิษย์แห่อาลัย
https://www.matichon.co.th/local/religious/news_5084355
[12] ด่วน อดีตพระยันตระ เสียชีวิตแล้ว อายุ 73 ปี ลูกศิษย์อาลัย
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9667034
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย