Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
4 มาตรการฟื้นตลาดทุน…?
ถึงตอนนี้เจ๊เมาธ์ชักจะเลือกไม่ถูกแล้วว่า ควรจะ “เป็นคนโง่ที่ขี้ตกใจ หรือ จะเป็นคนฉลาดที่ดีใจ เพราะเห็นโอกาสเวลาหุ้นตก” ในแบบที่ “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พูดเอาไว้ว่า “คนที่ฉลาดจะมองพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และจะมองสิ่งนี้เป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้น และไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้ คือ มองไม่เห็นโอกาสในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีกับราคาหลักทรัพย์ ที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ” แบบไหนดีกว่ากันแน่...
ในมุมของคนที่คิดว่าตัวเอง “ฉลาดกว่าคนอื่น” ก็เป็นไปได้ที่จะมีความเห็นไปในทาง “เหยียด” ที่มองว่า กลุ่มนักลงทุน นักลงทุนรายย่อย อีกเกือบทั้งตลาดคือ “คนโง่” เพราะชอบออกมาพูดมาบ่นว่า ตลาดหุ้นไทยถอยหลังลงคลอง จนทำสถิติต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากยังไม่เห็นผู้มีอำนาจหน้าไหนที่ “มีดีที่ฝีมือและมีดีที่ปาก” มาช่วยอะไรได้เลย ประมาณว่าที่พูดมาก็จะมีดีก็แค่ปาก...แต่ยังไม่มีฝีมือก็เท่านั้น!!!
ดังนั้น หากไม่อยากถูกผู้มีอำนาจ “หยามเหยียด” สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยเกือบทั้งตลาดทำได้ก็คือ ต้องลืมคำว่า “หุ้นตกแล้วขาดทุน” พร้อมทั้งยอมกัดฟันทำตัวเป็น “คนฉลาด” ออกมาสรรเสริญว่า การที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายไม่ช่วยอะไรเป็นการสร้าง “โอกาส” ประมาณว่ายิ่งหุ้นตกมาก ยิ่งมีโอกาสเยอะ มันก็อาจดูขัดๆ ชอบกล...
เอาจริงๆ เจ๊เมาธ์เชื่อว่า นักลงทุนแทบทุกคนไม่ได้โง่ เพราะต่างก็เห็นโอกาส เพียงแต่เมื่อเงินทุนหน้าตักมันหมดไปแล้ว...การเห็นโอกาสมันมีประโยชน์อะไร ???
อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรม...ดูเหมือนว่า ตลท. เตรียมจะออกมาตรการกระตุ้นตลาดทุน พร้อมผลักดันแนวทางแก้กฎหมาย เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุน โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่
1. โครงการ “Jump Plus” ซึ่งประกอบไปด้วยการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพิ่มมูลค่าให้เร็วขึ้น การใช้งบสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (TBCS) และการพิจารณาเพิ่มมาตรการจูงใจทางภาษี
2. โครงการ “New S-Curve Economy” ซึ่งประกอบไปด้วยการดึงดูดบริษัทอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น Health Care และ Hospitality ให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การเจรจากับ BOI ให้โครงการขนาดใหญ่ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนต้องเข้าตลาดหุ้น และการพิจารณาใช้ Dual-Class Shares (หุ้นสองระดับ) เพื่อให้ผู้ก่อตั้งธุรกิจยังคงมีอำนาจควบคุมบริษัท แม้จะนำเข้าจดทะเบียน
3. โครงการ “Treasury Stock Buyback” ประกอบไปด้วยการผ่อนคลายกฎ ซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock Buyback) การปลดล็อกข้อจำกัดที่กำหนดให้บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนได้ไม่เกิน 10% ของทุนจดทะเบียน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารโครงสร้างทุน
4. โครงการ “TISA” (Thailand Individual Saving Account) ประกอบด้วย การส่งเสริมการออมในหุ้นไทย และสร้างวินัยในการลงทุนระยะยาว การขยายฐานนักลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย การให้สิทธิยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุน ที่ถือครองหุ้นระยะยาว โดยใช้แนวคิดคล้าย NISA ของญี่ปุ่น เพื่อกระตุ้นการลงทุนต่อเนื่อง
ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพิ่มมาตรการจูงใจทางภาษี การดึงดูดบริษัทอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ต้องคิด และดำเนินการมานานแล้ว การมาพูดถึงใหม่ก็ดีกว่าไม่มี...
ส่วนในข้อที่ 3 เรื่องการปลดล็อกข้อจำกัด “ซื้อหุ้นคืน” แม้ว่าอาจจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ ที่ทรงอิทธิพลต่อดัชนีหุ้นส่วนใหญ่แทบจะไม่มีที่ไหนทำ Buyback จนส่งผลกับภาพรวมของตลาดอย่างมีนัยได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำ...
ดังนั้น เจ๊เมาธ์ จึงสรุปได้ว่า มาตรการในข้อ 1-3 มีไว้ ...ดีกว่าที่จะไม่มี เพราะสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดคือ มาตรการที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องของโครงการ “TISA” หรือ การส่งเสริมการออมในหุ้นไทย และสร้างวินัยในการลงทุนระยะยาว นั่นเอง!!!
มุมมองที่บอกว่า “เพื่อส่งเสริมการออมในหุ้นไทย” ซึ่งประเด็นก็คือ “การออม” ซึ่งนั่นก็หมายความถึง “การเก็บรายได้ส่วนเกินไปไว้ในที่ซึ่งสามารถดึงกลับมาใช้ได้ตลอดเวลา” โดยมีความปลอดภัยต่อสินทรัพย์ที่ว่านั้นด้วย แต่ต้องย้อนกลับไปดูช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา คัดกันดูมีกี่ตัวที่ลงทุนแล้วได้กลับมามากกว่าเดิม หรือ อย่างน้อยเท่าเดิม...สมกับคำว่า “ออม”
กรณีการขยายฐานนักลงทุนระยะยาว ในตลาดหุ้นไทย รวมไปถึงการให้สิทธิยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนที่ถือครองหุ้นระยะยาว ซึ่งแม้จะไม่เน้นว่าเป็นทุนจากนักลงทุนไทยหรือต่างชาติ...สถาบัน หรือ กองทุน แต่การที่ตลาดหุ้นไทย ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ก็จะทำให้นักลงเหล่านี้ทุนถอยหนีออกไปอยู่ดี
ฉะนั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่การสนับสนุนในเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะหากเศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคง ก็หมายความว่าตลาดเงินตลาดทุนก็จะมีความมั่นคง ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้น และราคาหุ้นพื้นฐานดีมีความมั่นคงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การมีมาตรการในระยะยาวที่ดีออกมา ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงมองว่า นักลงทุนทั้งหลายอาจจะต้องยอมอดทนรอดูไปก่อน เพราะการออกมาพูดถึงบ่อยๆ ก็จะทำให้นักการเมือง หาว่า “เป็นคนโง่” ที่มองไม่เห็นโอกาส เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เจ๊เมาธ์พูดถึงบ่อยๆ เพียงคนเดียวก็พอแล้ว...เจ๊เมาธ์ยอม “โง่” เพื่อทุกคนเจ้าค่ะ อิอิอิ
1 บันทึก
6
1
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย