11 มี.ค. เวลา 19:05 • ธุรกิจ

การค้าปลีกในประเทศไทย

สมัยก่อนที่ยังไม่มีการค้าแบบโมเดิร์นเทรดรูปแบบการค้าปลีกที่เราคุ้นเคยเรียกว่าการค้าปลีกแบบดั้งเดิมซึ่งจะมีสินค้ามากน้อยตามสภาพความพร้อมของร้านค้าหรือแผงค้านั้นๆ และส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสวยงามเป็นระเบียบรวมทั้งความสะดวกสะบายให้ลูกค้า ส่วนใหญ่จะบริหารงานโดยบุคคลคนเดียวหรือเป็นกิจการขนาดเล็กที่บริหารกันในครอบครัวและเจ้าของร้านก็จะทำหน้าที่เป็นพนักงานขายที่หน้าร้านไปด้วยในตัวหรืออาจมีลูกจ้างไม่กี่คน
ในปัจจุบันรูปแบบการค้าปลีกแบบดั้งเดิมนี้ก็ยังทำกันอยู่มากไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยแต่ทำการค้ากันอยู่ทั่วทั้งโลก จุดเด่นอีกอย่างของการค้าปลีกดั้งเดิมคือเจ้าของกิจการและลูกค้ามีการทักทายพูดคุยกันไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน เจ้าของร้านสามารถถามไถ่ความต้องการสินค้าของลูกค้าได้ เพื่อจะได้ไปหาสินค้าที่ตรงตามต้องการของลูกค้ามาขายให้ได้ บางครั้งยังสามารถต่อรองราคากันได้ด้วยโดยใช้ความสนิทสนมและความเกื้อกูลกันในชุมชนมาเกี่ยวข้องด้วย
แต่จุดด้อยหรือข้อจำกัดของการค้าปลีกแบบดั้งเดิมคือการค้าขายที่ไม่มีระบบและมักจะมีต้นทุนสูงในการดำเนินการซื้อสินค้าตามร้านขายส่งซึ่งรวมถึงค่าน้ำมันรถและค่าขนส่งหากต้องการให้มาส่งของให้และบางครั้งก็ไม่เหลือกำไรมากนักและต้องใช้การหมุนเงินในการซื้อสินค้ามาเติม มีอำนาจในการต่อรองต่ำ และกิจการจะดำเนินต่อไปได้โดยราบรื่นก็ด้วยความพร้อมทางร่างกายและจิตใจของเจ้าของกิจการเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามการค้าปลีกแบบดั้งเดิมนี้ก็น่าจะยังอยู่กับสังคมไทยต่อไปโดยเฉพาะตามพื้นที่ห่างไกลเช่น ในตำบลหรืออำเภอที่อยู่ในต่างจังหวัดที่ร้านสะดวกซื้อยังเข้าไปไม่ถึงหรือตามชุมชนที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอกซอย
ภายหลังมีรูปแบบการค้าปลีกแบบใหม่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในบ้านเรา เรียกว่าการค้าปลีกแบบโมเดิร์นเทรด ซึ่งเป็นระบบการค้าปลีกที่มีมานานแล้วในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรปและในเอเชียบางประเทศ
ปัจจุบันประเทศเหล่านี้ก็มาถึงจุดที่มีความอิ่มตัวทางด้านการค้าปลีกแบบใหม่แล้ว ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยหรือประเทศในอาเซียน ประชาชนมีรายได้ที่สูงขึ้นรูปแบบในการใช้ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไป การค้าปลีกแบบใหม่หรือโมเดิร์นเทรดจึงเติบโตขึ้นตามความต้องการของการใช้ชีวิตบนมาตรฐานที่สูงขึ้น
การค้าปลีกแบบใหม่หมายถึง การค้าขายสินค้าและบริการด้วยการจัดการแบบใหม่ หรือการขายสินค้าและบริการที่มีการบริหารจัดการในด้านต่างๆ อย่างมีระบบทั้ง การจัดการด้านรูปแบบของร้านและการตกแต่งร้าน การจัดการเรื่องสินค้าและบริการ การจัดการเรื่องระบบในการควบคุมสินค้าและบริการ การจัดการเรื่องการบริหารคน, การบริหารการเงิน, การบริหารการตลาด
การค้าปลีกแบบใหม่ยังแบ่งออกเป็น แบบร้านเดียวไม่มีสาขา และแบบที่มีการขยายสาขา เรียกว่าร้านเชน (Chain Store)
สำหรับในประเทศไทยรูปแบบของการค้าปลีกแบบใหม่อาจจะมีการควบรวมรูปแบบเฉพาะที่แตกต่างกันให้รวมอยู่ด้วยกันได้ ตามความเหมาะสม ความพร้อมและแนวทางการตลาดของธุรกิจนั้น โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) เช่น เซ็นทรัล, โรบินสัน
2. ไฮเปอร์มาร์เก็ตหรือดิสเคาท์สโตร์ (Hypermarket, Discount Store, Cash & Carry) เช่น โลตัส, บิกซี
3. ซุปเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) เช่น ทอปส์, ฟู๊ดแลนด์
4. ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) เช่น 7-11, แฟมิลี่มาร์ท
5. ร้านค้าที่ขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Shop) เช่น บูสต์. วัตสัน, เพาเวอร์บาย, บีทูเอส, ออฟฟิศเมต
การเติบโตขึ้นของการค้าออนไลน์ส่งผลกระทบกับการค้าปลีกทั้งแบบดั้งเดิมและแบบแบบใหม่โดยเฉพาะในประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทางด้านดิจิตอลสูง เช่นสหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และหลายประเทศในยุโรป ส่วนแบ่งการตลาดของของอีคอมเมิร์ชสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มจะแซงหน้าโมเดิร์นเทรดในเวลาอีกไม่กี่ปี
ในประเทศไทยมูลค่าของธุรกิจการค้าปลีกโดยรวมอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาดของการค้าปลีกแบบดั้งเดิมอยู่ที่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ การค้าปลีกแบบใหม่อยู่ที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์และการค้าออนไลน์มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ซึ่งยังห่างไกลจากการค้าปลีกแบบดั้งเดิมและการค้าปลีกแบบใหม่อยู่มากแต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้น
เครดิตภาพ Charmace, ฐานเศรษฐกิจ, ThaiSMEsCenter
โฆษณา