งานวิจัยจาก MIT และมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกได้พบข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อประสิทธิภาพการทำงานในกลุ่มคนที่แตกต่างกัน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่านักวิทยาศาสตร์ระดับสูงที่ใช้ AI มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 80-90% ขณะที่นักลงทุนมืออาชีพได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 10% เมื่อใช้ AI และผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสามารถเพิ่มกำไรได้ถึง 15% ด้วยการใช้ AI[1][7] แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญกลับไม่ได้ประโยชน์จาก AI หรือบางกรณีอาจทำงานได้แย่ลงกว่าเดิม
การศึกษาในประเทศเคนยาได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญต่อประเด็นนี้ นักวิจัยได้ทดลองนำ AI ที่เรียกว่า "Mentor" ซึ่งพัฒนาจาก GPT-4 มาช่วยผู้ประกอบการธุรกิจท้องถิ่น ผลลัพธ์พบว่า AI ไม่ได้มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพทางธุรกิจโดยรวมมากนัก แต่กลับเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพสูง (High Performance) และผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพต่ำ (Low Performance) อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ประกอบการที่เก่งได้รับประโยชน์จาก AI เพิ่มขึ้นถึง 20% ในขณะที่ผู้ประกอบการที่ไม่เก่งกลับมีประสิทธิภาพแย่ลงถึง 10%[6]
กลไกการสร้างความเหลื่อมล้ำของ AI
ทำไม AI จึงขยายช่องว่างระหว่างคนเก่งกับคนธรรมดา? การศึกษาในเคนยาชี้ให้เห็นถึงกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ คนที่มีความเชี่ยวชาญสูงจะสามารถตั้งคำถามที่ตรงประเด็นและเฉพาะเจาะจง ซึ่ง AI สามารถตอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาเข้าใจขอบเขตความสามารถของ AI และรู้วิธีการใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในทางกลับกัน คนที่ไม่เก่งหรือไม่มีความเชี่ยวชาญมักจะตั้งคำถามที่ยากและซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะสามารถให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ได้[6]
การวิจัยยังพบว่า ความเข้าใจพื้นฐานต่อเรื่องที่ต้องการคำปรึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้ AI เกิดประโยชน์แตกต่างกัน เมื่อผู้ใช้มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ พวกเขาสามารถแยกแยะได้ว่าคำตอบใดจาก AI มีประโยชน์และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ในขณะที่ผู้ที่ขาดความรู้พื้นฐานอาจไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคำแนะนำใดเหมาะสมกับสถานการณ์ของตน ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้[6]
ปรากฏการณ์ช่องว่างจาก AI ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระดับบุคคล แต่ยังขยายไปถึงระดับประเทศด้วย รายงาน "โปรดระวังความเหลื่อมล้ำทาง AI: การสร้างมุมมองระดับโลกเกี่ยวกับอนาคตของการทำงาน" (Mind the AI Divide: Shaping a Global Perspective on the Future of Work) โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และสำนักงานผู้แทนพิเศษด้านเทคโนโลยีของเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ชี้ให้เห็นว่า AI กำลังขยายช่องว่างระหว่างประเทศที่มีรายได้สูงและประเทศกำลังพัฒนา[3][4]
แม้ว่าจะมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นจาก AI แต่ในขณะเดียวกัน AI ก็มีศักยภาพในการลดช่องว่างทางสังคมถ้าได้รับการพัฒนาและนำไปใช้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น AI สามารถเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้พิการทางการได้ยินผ่านระบบการเรียนรู้ภาษามือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งช่วยให้ผู้พิการทางการได้ยินเข้าถึงการเรียนรู้ภาษามือที่เป็นมาตรฐานสากลได้ง่าย สะดวก และราคาไม่แพง[10]
นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงการศึกษา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านเวลาและทรัพยากร ผ่านคอร์สเรียนออนไลน์ที่ใช้ AI ในการแปลภาษาอัตโนมัติหรือระบบที่ช่วยปรับระดับความยากง่ายของเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียน[11] แพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ใช้ AI เช่น Khan Academy หรือ edX สามารถปรับระดับความยากง่ายของบทเรียนตามความสามารถและความเร็วในการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน ทำให้คนทำงานสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการเดินทางไปยังสถานที่เรียน[11]
การเตรียมความพร้อมสำหรับโลกยุค AI
เมื่อเผชิญกับปรากฏการณ์ช่องว่างของ AI สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย อธิบายว่าในอนาคตมนุษย์จะแบ่งเป็น 4 สายพันธุ์ และคนเก่งที่หันหลังให้ AI จะแพ้คนธรรมดาที่ใช้ AI เป็น[2] สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะการใช้ AI ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับทักษะใดก็ตาม
ทักษะที่จำเป็นในยุค AI ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ความรู้ทางเทคนิค แต่รวมถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยให้บุคคลสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต[5]
ในระดับประเทศ นโยบายสาธารณะควรมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่ครอบคลุมและเสนอโครงการฝึกอบรมใหม่ๆ สำหรับแรงงานที่มีความเปราะบาง เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงของ AI ครอบคลุมมากขึ้น ปกป้องการดำรงชีวิต และควบคุมความไม่เท่าเทียมกัน[9] นอกจากนี้ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและการบริหารจัดการ AI ในโลกแห่งการทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนี้[4]
สรุป: การรับมือกับความเหลื่อมล้ำจาก AI
ข้อมูลจากงานวิจัยและรายงานต่างๆ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า AI มีแนวโน้มที่จะเพิ่มช่องว่างระหว่างคนเก่งกับคนธรรมดา และระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรปฏิเสธเทคโนโลยีนี้ แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่สนับสนุนการเข้าถึง AI อย่างเท่าเทียมและการพัฒนาทักษะที่จำเป็น
สุดท้ายแล้ว AI เป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อทุกอุตสาหกรรมและช่วยในการทำธุรกิจ แต่ไม่สามารถทำให้ทุกคนทำงานได้ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ[6] ความสำเร็จในยุค AI จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว เรียนรู้ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้อย่างชาญฉลาด โดยไม่ลืมว่าปัจจัยมนุษย์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของนวัตกรรมและการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
การสร้างโลกที่ทุกคนได้รับประโยชน์จาก AI จึงไม่ใช่เพียงการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้า แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมที่สนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกของเรา