Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Cyber Vir
•
ติดตาม
13 มี.ค. เวลา 23:58 • ไลฟ์สไตล์
มารี คูรี->> ผู้เปลี่ยนโลกด้วยแสงที่มองไม่เห็น
มารี คูรี (Marie Curie) เป็นชื่อที่แทบไม่มีใครในวงการวิทยาศาสตร์ไม่รู้จัก เธอคือนักฟิสิกส์และเคมีที่เปลี่ยนโฉมหน้าของวิทยาศาสตร์ตลอดกาล
เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล และเป็นคนแรก (และยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คน) ที่ได้รับรางวัลนี้ถึงสองสาขา แต่ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งกว่ารางวัล
เธอไม่ได้เพียงค้นพบเรเดียมและพอโลเนียม แต่เธอยังเป็นนักสู้ ผู้หญิงที่ไม่เคยยอมแพ้ แม้ต้องเผชิญกับอคติ ความยากลำบาก และแม้แต่ผลลัพธ์ของงานวิจัยที่ส่งผลถึงชีวิตของเธอเอง
เพจ Cyber Vir จะสรุปเรื่องราวของเธอให้เข้าใจง่าย ๆ ใน 6 ข้อนะครับ
1. เด็กหญิงมารี สู่สตรีผู้ท้าทายกรอบสังคม
มารีเกิดในโปแลนด์ภายใต้การปกครองของรัสเซีย ซึ่งในเวลานั้น ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์เรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ โอกาสเดียวของเธอคือต้องไปเรียนที่ “มหาวิทยาลัยใต้ดิน” ซึ่งเป็นโรงเรียนลับสำหรับสตรีที่ต้องการศึกษา
ต่อมา เธอเดินทางไปปารีสเพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ โดยใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เธอต้องอาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคา ทนความหนาวเย็น และกินเพียงขนมปังกับชาร้อนเพื่อประหยัดเงิน
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจหยุดเธอได้ เธอเรียนจนจบเป็นที่หนึ่งของรุ่นในวิชาฟิสิกส์ และต่อด้วยปริญญาในสาขาคณิตศาสตร์
2. การค้นพบที่เปลี่ยนโลก – และเปลี่ยนชีวิตเธอเอง
มารีและสามีของเธอ ปิแอร์ คูรี ได้ค้นพบธาตุเรเดียมและพอโลเนียม ซึ่งกลายเป็นรากฐานของศาสตร์เกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี (radioactivity) ที่เราใช้กันในปัจจุบัน
ผลงานของเธอนำไปสู่การพัฒนาเครื่องเอกซเรย์ เทคนิคการรักษามะเร็ง และการค้นคว้าเรื่องพลังงานนิวเคลียร์
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอไม่จดสิทธิบัตรการค้นพบของเธอ เธอเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ควรเป็นของมนุษยชาติ ไม่ใช่เพื่อแสวงหาผลกำไร
3. การกีดกันทางเพศในแวดวงวิทยาศาสตร์
แม้เธอจะได้รับรางวัลโนเบลในปี 1903 แต่นักวิทยาศาสตร์ชายหลายคนในยุคนั้นยังคงไม่ยอมรับเธอ
คณะกรรมการรางวัลโนเบลตั้งใจจะมอบรางวัลให้แค่ ปิแอร์ คูรี กับอ็องรี แบ็กแรล (Henri Becquerel) แต่ปิแอร์ปฏิเสธและยืนยันว่าผลงานของมารีมีส่วนสำคัญ
เมื่อปิแอร์เสียชีวิตในปี 1906 มารีได้รับตำแหน่งอาจารย์ที่ซอร์บอนน์ แต่เธอยังคงถูกกีดกันจากการเข้าร่วมสถาบันวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส ในขณะที่ผู้ชายที่มีผลงานน้อยกว่ากลับได้รับการยอมรับ
.
4. ความรักต้องห้าม ที่สังคมประณาม
สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ มารี คูรี ตกเป็นเหยื่อของการประณามจากสังคม เธอมีความสัมพันธ์กับนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส พอล ล็องจาแวง (Paul Langevin) ซึ่งในขณะนั้นแต่งงานอยู่
แม้ว่าภรรยาของล็องจาแวงจะรู้เรื่องปัญหาชีวิตคู่ของเขามานานแล้ว แต่เมื่อเรื่องราวของเขากับมารีถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ มารีกลับถูกสังคมโจมตีรุนแรงกว่าชายที่แต่งงานแล้วเสียอีก
เธอถูกสื่อโจมตี ถูกประณามว่าเป็น “ผู้หญิงชั่วร้าย” และแม้แต่ตอนที่เธอได้รับรางวัลโนเบลครั้งที่สองในปี 1911
คณะกรรมการถึงกับแนะนำให้เธอ “อย่ามารับรางวัลด้วยตนเอง” เพราะกลัวว่าจะเกิดกระแสต่อต้าน แต่เธอก็ยังเดินทางไปรับรางวัลด้วยความภาคภูมิ
5. งานของเธอที่ส่งผลถึงชีวิตของเธอเอง
มารีทำงานกับสารกัมมันตรังสีโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน เพราะในยุคนั้นยังไม่มีใครรู้ถึงอันตราย เธอมักพกขวดเรเดียมติดตัว และห้องทดลองของเธอเต็มไปด้วยแสงเรืองรองจากกัมมันตภาพรังสี
หลายทศวรรษต่อมา นักวิทยาศาสตร์พบว่าร่างกายของมารีได้รับกัมมันตภาพรังสีจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโลหิตจางที่คร่าชีวิตเธอในปี 1934
จนถึงทุกวันนี้ สมุดบันทึกและอุปกรณ์ของเธอยังคงปนเปื้อนรังสีและต้องเก็บรักษาไว้ในตู้ตะกั่ว
3
6. มรดกที่ยังคงอยู่
แม้เธอจะจากไปแล้ว แต่มรดกของเธอยังอยู่ ลูกสาวของเธอ อีแรน ฌอลิโอ-คูรี (Irène Joliot-Curie) ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบกัมมันตภาพรังสีสังเคราะห์
และชื่อของเธอยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความพากเพียรและความกล้าหาญของผู้หญิงในวงการวิทยาศาสตร์
@ ชีวิตของมารี คูรี เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า แสงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจเป็นแสงที่มองไม่เห็น เช่นเดียวกับรังสีที่เธอค้นพบ ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
ขอได้รับความขอบคุณ
เพจ Cyber Vir
14 Mar 2025
blockditchallengeท้าปล่อยของ
ผู้หญิง
บันทึก
3
6
3
3
6
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย