วันนี้ เวลา 05:12 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

จีนลั่นรถยนต์ไร้คนขับพร้อมระเบิด "ChatGPT Moment" ท้าชน Tesla แบบไม่ไว้หน้า

ไม่มีเรื่องไหนในวงการยานยนต์โลกจะร้อนแรงไปกว่านี้แล้ว! ที่เมืองกว่างโจวทางตอนใต้ของจีน เหอ เสี่ยวเผิง (He Xiaopeng) บอสใหญ่แห่ง Xpeng ค่ายรถไฟฟ้าจีน (EV) ที่กำลังนำโด่งในสงครามเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ ออกมาแถลงด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า วงการนี้กำลังจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หรือที่เขาเรียกว่า "ChatGPT Moment" คล้ายกับตอนที่ OpenAI เปิดตัวแชทบอทจนทำให้ AI เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
เหอ เสี่ยวเผิง บอกว่านาทีระเบิดนั้นอาจมาถึงปลายปีนี้เลย และจีน ซึ่งเขายกย่องว่าพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ "เร็วที่สุดในโลก" จะเป็นพลังขับเคลื่อนหลัก เขายังแซะเบาๆ ว่าคนขับรถในอเมริกาไม่เห็นเทคโนโลยีนี้เป็นเรื่องจำเป็น แต่ลูกค้าจีนที่คลั่งไคล้เทคโนโลยีในรถ EV คิดต่าง วันนี้ผมมีโอกาสนั่งรถ Xpeng P7+ ไปทดสอบด้วยตัวเองในเมืองที่วุ่นวาย และต้องบอกว่าเห็นเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าพูดแบบนั้น
ระหว่างขับ รถคันนี้แซงรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวสามล้อได้เนียนๆ หลบสกู๊ตเตอร์ที่พุ่งย้อนศรแบบไม่กลัวตาย และเลี้ยว U-Turn ได้เป๊ะโดยไม่ต้องให้มนุษย์แตะพวงมาลัย แต่ก็มีบางจังหวะใน 20 นาทีนั้นที่คนขับต้องเข้าไปช่วยควบคุม เขา เสี่ยวเผิง บอกว่าการพัฒนาให้รถขับเองได้เกือบ 100% บนถนนเมืองที่โกลาหลคือกุญแจสำคัญที่จะชนะใจลูกค้า
Xpeng และคู่แข่งจีนกำลังทุ่มสุดตัวเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ในสงครามระดับโลกครั้งนี้ หลังจากที่จีนทำรถ EV ได้ดีและถูกกว่าชาวบ้านมาแล้ว ตอนนี้เป้าหมายคือรถยนต์ไร้คนขับ (AV) แม้จีน อเมริกา และยุโรปยังขับเคี่ยวกันว่าเทคโนโลยีของใครจะครองโลก แต่จีนนำหน้าไปไกลในแง่การใช้งานจริงแบบต้ากุยโม๋ (大规模 - ขนาดใหญ่)
ผมอยู่ในวงการนี้มานาน และได้คุยกับคนในอุตสาหกรรมมาเยอะ วันนี้จะสรุปให้ฟังชัดๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
### สองเส้นทางของรถไร้คนขับ: Robotaxi vs ADAS
ในโลกของรถยนต์ไร้คนขับ มีสองทางหลักที่เขาแข่งกันอยู่
Robotaxi (แท็กซี่ไร้คนขับ) กับ ADAS (ระบบช่วยขับขี่ขั้นสูง) ทั้งคู่ถูกแบ่งระดับตามมาตรฐานสากลตั้งแต่ Level 0 (ไม่มีระบบอัตโนมัติ) ถึง Level 5 (ขับเองเต็มรูปแบบไม่ต้องมีข้อจำกัด) ตอนนี้ Level 5 ยังห่างไกล เพราะติดทั้งเทคโนโลยี เงิน และกฎหมาย แต่รถระดับต่ำกว่านั้นเริ่มวิ่งกันเต็มถนนแล้ว
จีนมีการทดลอง Robotaxi ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รถพวกนี้เรียกผ่านแอปได้เลย เป็น Level 4 คือไม่ต้องมีคนขับ แต่ใช้ได้แค่ในเขตที่อนุญาต Bernstein บริษัทวิจัย บอกว่าตอนนี้มี 5 บริษัทในจีนที่ปล่อย Robotaxi มากกว่า 2,300 คัน โดย Baidu นำโด่ง วิ่งอยู่ใน 11 เมือง ส่วนอเมริกา Waymo เป็นเจ้าเดียวที่เก็บค่าโดยสารจริง มีรถแค่ 700 คันใน 3 เมือง Tesla ที่โม้เรื่องรถไร้คนขับมานานสิบปีก็ยังทำไม่ได้ตามสัญญา แต่บอกว่าจะเปิดตัว Robotaxi เร็วๆ นี้
ถึง Robotaxi จีนจะถูกกว่าที่อื่น แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ายังแพงเกินกว่าจะผลิตเป็นล้านคัน และบริษัทที่ทำอยู่ยังขาดทุนยาวๆ General Motors เพิ่งตัดโปรเจกต์ Robotaxi ที่ทุ่มไปกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญเมื่อธันวาคม เพราะขาดทุนหนัก หันไปโฟกัสที่รถทั่วไปที่มี ADAS แทน
ส่วน ADAS เน้นช่วยคนขับ ไม่ใช่แทนที่ ตอนนี้ทุกคนจับตาว่าเมื่อไหร่จีนจะอนุญาตให้ขยับจาก Level 2 (รถบังคับพวงมาลัย เร่ง เบรกเองได้ แต่ต้องมีคนคอยดู) ไป Level 3 (ไม่ต้องจับพวงมาลัยหรือมองถนนในบางสถานการณ์) ถ้า Level 3 มาเมื่อไหร่ ชีวิตคนขับจะเปลี่ยนไปเลย ลองนึกภาพเช็กอีเมลหรือดูหนังระหว่างรถติด แต่ต้องพร้อมควบคุมถ้ารถเรียก
จีนครองแชมป์ ADAS ด้วย เป็นตลาดรถยนต์ใหญ่สุดในโลก รถ Level 2 ถูกผลิตออกมามากกว่าที่ไหนๆ Counterpoint คาดว่าปี 2026 ยอดขายรถที่รองรับ Level 3 ในจีนจะมากกว่าอเมริกาเหนือหรือยุโรปถึง 4 เท่า หรือกว่า 1 ล้านคัน ส่วน Goldman Sachs บอกว่าในปี 2040 รถที่ขายในจีน 90% จะเป็น AV ระดับ Level 3 ขึ้นไป เทียบกับยุโรป 80% และอเมริกา 65%
### อุปสรรคยังมีเพียบ
แต่ปัญหาใหญ่สุดคือกฎหมาย อเมริกาติดหล่มเรื่องการสอบสวนความปลอดภัยมานาน กลุ่มล็อบบี้ยื่นจดหมายถึงกระทรวงคมนาคมเมื่อมกราคม บ่นว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรชัดเจน สวนทางกับจีนที่รัฐหนุนเต็มที่ ฝั่งอเมริกาหวังว่า Elon Musk ซึ่งตอนนี้เป็นที่ปรึกษาให้ทรัมป์ จะช่วยลดกำแพงกฎหมายลงได้
จีนเองก็ไม่หยุด รัฐบาลตั้งเป้าผลิต Level 3 ให้ได้ในปีนี้ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็พึ่งอนุญาตให้ 9 ค่ายรถทดสอบ Level 3 บนถนนจริง พอตุลาคม รัฐมนตรีอุตสาหกรรมก็สัญญาจะเร่งออกกฎหมาย รัฐบาลท้องถิ่นแข่งกันอัดฉีดเงินวิจัย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รถไร้คนขับวิ่งง่ายขึ้น Lei Jun บอส Xiaomi ที่เพิ่งทำ EV ดังเปรี้ยง ยังไปขอรัฐบาลในที่ประชุมสภาเดือนนี้ให้เปิดไฟเขียวฟังก์ชันขับอัตโนมัติเต็มตัวภายในปี 2026 เลย
### ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อเดือนมกราคม Xiaomi เรียกคืนรถ SU7 31,000 คัน หลังลูกค้าบ่นว่ารถชนตอนจอดเอง ถ้า Level 3 มา รถแสนคันจะวิ่งบนถนนซับซ้อนด้วยความเร็วสูง เกิดอุบัติเหตุคนตายขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ? ค่ายรถ Mercedes ยอมรับผิดแทนลูกค้าในระบบ Level 3 ของตัวเองแล้ว แต่รายละเอียดยังต้องเคลียร์กันอีกเยอะ
ยังมีเรื่องปวดหัวอีก เช่น เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเทคโนโลยีกับการตกงาน ตลาดตะวันตกอย่างอเมริกาและ EU ตั้งกำแพงภาษีรถจีนอยู่แล้ว ถ้าเป็นรถอัจฉริยะยิ่งเข้มขึ้น รัฐบาลไบเดนยังเสนอแบนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รถจีนในอเมริกาด้วยเหตุผลความมั่นคง ทรัมป์ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไง
เหอ เสี่ยวเผิง อยากให้คนเชื่อว่ารถไร้คนขับจะเจ๋งและปลอดภัยเหมือน ChatGPT แต่เดิมพันหลังพวงมาลัยมันสูงกว่านั้นเยอะ
โฆษณา