วันนี้ เวลา 05:19 • การศึกษา

วิธีการลงจาก หุบเขาแห่งความโง่เขลา

ดร.ทรงพล เทอดรัตนเกียรติ เรียบเรียง
การก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลา: วิธีการพัฒนาตนเองตามทฤษฎี Dunning-Kruger Effect
ทฤษฎี Dunning-Kruger Effect เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และความมั่นใจในตัวเองของบุคคล ซึ่งพัฒนาโดยนักจิตวิทยาสองท่านคือ เดวิด ดันนิ่ง และจัสติน ครูเกอร์ ทฤษฎีนี้อธิบายว่าบุคคลที่มีความรู้น้อยมักจะประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินจริง เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
"ยอดเขาแห่งความโง่เขลา" หรือ Mount Stupid ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงกลับมีความระมัดระวังและถ่อมตนในการแสดงความคิดเห็น บทความนี้จะนำเสนอวิธีการก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลาและเดินทางสู่การเรียนรู้ที่แท้จริงตามแนวคิด Dunning-Kruger Effect รวมถึงเทคนิคในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน
## ทำความเข้าใจ Dunning-Kruger Effect และขั้นตอนการพัฒนา
Dunning-Kruger Effect เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาที่แบ่งลำดับขั้นการพัฒนาตนเองออกเป็นสี่ระดับ ได้แก่ ยอดเขาแห่งความโง่เขลา (Mountain of Stupidity) หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง (Valley of Despair) สันเขาแห่งการรู้แจ้ง (Slope of Enlightenment) และเนินแห่งความยั่งยืน (Plateau of Sustainability)[1] ทฤษฎีนี้อธิบายถึงกระบวนการพัฒนาของมนุษย์ที่เริ่มต้นจากความมั่นใจสูงแม้จะมีความรู้น้อย ไปจนถึงการมีความมั่นใจที่สมดุลกับความรู้ที่แท้จริง
เมื่อเราเริ่มเรียนรู้หรือทำอะไรสักอย่างและประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เรามักจะคิดว่าตัวเองเก่งมาก เกิดเป็นความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็น "ยอดเขาแห่งความโง่เขลา" หรือที่เรียกว่า Peak of Mount Stupid[1] ณ จุดนี้ คนเรามักจะหยุดเรียนรู้และคิดว่าตัวเองรู้มากพอแล้ว ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เคยกล่าวไว้ว่า "รู้น้อยแต่มั่นใจเยอะ" เป็นลักษณะของคนที่ค้างอยู่บนภูเขาแห่งความโง่ และเตือนว่าเราต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ต้องถามและเรียนรู้อยู่เสมอ[2]
ความมั่นใจที่จะอวดรู้นี้ มักพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอวดฉลาดอยู่ จนไปถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่ายอดเขาแห่งความโง่ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้คนรอบด้านเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมโง่อวดฉลาด[5] การตระหนักรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่บนยอดเขานี้และการรู้วิธีก้าวลงมาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง
### สัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณอยู่บนยอดเขาแห่งความโง่เขลา
มีหลายสัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่าคุณกำลังอยู่บนยอดเขาแห่งความโง่เขลา การตระหนักรู้ถึงสัญญาณเหล่านี้เป็นก้าวแรกในการลงจากยอดเขา คุณอาจกำลังอยู่บนยอดเขาแห่งความโง่เขลาหากคุณรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้งทั้งที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้ มีความมั่นใจสูงในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่มีความรู้จำกัด หรือมองข้ามความซับซ้อนของปัญหาโดยคิดว่าทุกอย่างเรียบง่าย[4]
นอกจากนี้ หากคุณมักไม่ยอมรับคำวิจารณ์หรือมุมมองที่แตกต่าง และผู้คนรอบข้างเริ่มแสดงความไม่พอใจหรือกระแนะกระแหนต่อความคิดเห็นของคุณ เหล่านี้ก็เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณอาจกำลังอยู่บนยอดเขาแห่งความโง่เขลา[5] เช่นเดียวกับกรณีของ Elizabeth Holmes ผู้ก่อตั้ง Theranos ที่มั่นใจว่าตนเองสามารถปฏิวัติวงการตรวจเลือดได้ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ เธอยังคงหลอกลวงนักลงทุนและสาธารณชนด้วยความมั่นใจสูงเกินไปในความสามารถของตน[6]
## วิธีการก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลา
การก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลาเริ่มต้นด้วยการตระหนักรู้และยอมรับข้อจำกัดของตนเอง มีหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถก้าวลงจากยอดเขาและพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง
### การตระหนักรู้และยอมรับข้อจำกัดของตนเอง
ก้าวแรกในการก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลาคือการตระหนักรู้และยอมรับว่าความรู้ของคุณมีข้อจำกัด อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า "หากคุณไม่สามารถอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้คนอื่นเข้าใจแบบเรียบง่ายได้ นั่นแปลว่าคุณยังไม่เข้าใจเรื่องนั้นแบบถ่องแท้"[2] การพยายามอธิบายสิ่งที่คุณคิดว่ารู้ให้ผู้อื่นฟังอาจช่วยให้คุณเห็นข้อจำกัดในความรู้ของตนเอง
การยอมรับว่าเรามีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากเป็นการเปลี่ยนแนวคิดจาก "ฉันรู้ทุกเรื่อง" ไปสู่ "เรื่องนี้มันซับซ้อนกว่าที่ฉันเคยรู้"[2] การยอมรับว่าเราโง่ในบางเรื่องและไม่มีทางฉลาดได้ในทุกเรื่องเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลา
### การเปิดใจเรียนรู้และรับฟังผู้อื่น
การเปิดใจเรียนรู้และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลา การทำตัวเป็น "น้ำไม่เต็มแก้ว" จะช่วยให้คุณมีพื้นที่ว่างในการเปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา[3]
นอกจากนี้ การเข้าใจว่าคุณไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุดเสมอไป และยอมรับในความสามารถของผู้อื่นว่าไม่มีใครที่จะรู้ไปทุกเรื่อง เหมือนสำนวนที่เรียกว่า "Achilles Heel" ที่แปลว่าแม้คนที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ย่อมมีจุดอ่อน[3] จะช่วยให้คุณมีมุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้น
### การพัฒนาทักษะอภิปัญญา (Metacognition)
อภิปัญญา หรือความสามารถในการคิดเกี่ยวกับการคิดของตนเอง เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้คุณก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลา คนที่อยู่บนยอดเขามักจะขาดทักษะทางอภิปัญญาในการประเมินตัวเอง และขาดทักษะในการถอยหลังมาวิเคราะห์ตัวเอง ซึ่งทำให้การตัดสินใจหลายอย่างเป็นการประเมินตัวเองดีเกินไป[2]
การพัฒนาทักษะอภิปัญญาทำได้โดยการหมั่นทบทวนและประเมินความรู้และความเข้าใจของตนเอง การตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เรารู้อะไรบ้าง" และ "เรายังไม่รู้อะไรบ้าง" และการพยายามมองกระบวนการคิดของตนเองจากมุมมองของบุคคลที่สาม การเขียนบันทึกการเรียนรู้และการวิเคราะห์กระบวนการคิดของตนเองก็เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาอภิปัญญา
### การเตรียมตัวสำหรับหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง
เมื่อคุณก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลา คุณจะเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า "หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง" (Valley of Despair) ซึ่งเป็นช่วงที่ยิ่งศึกษาหาความรู้ ความมั่นใจของคุณก็จะลดลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดต่ำสุด คุณจะรู้สึกแย่กับความรู้น้อยของตัวเอง และตระหนักได้ว่า "เราแทบไม่รู้อะไรเลย"[3]
ในช่วงนี้ อาจมีหลายคนที่รับไม่ได้กับความจริงที่ว่า "ตัวเองไม่รู้" จึงเลือกที่จะกลับไปอยู่บน "ยอดเขาแห่งความโง่เขลา" อีกครั้งเพื่อความสบายใจของตัวเอง[3] แต่การเตรียมตัวและเข้าใจว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้จะช่วยให้คุณผ่านช่วงเวลานี้ไปได้และพัฒนาตนเองต่อไป
## การเดินทางผ่านหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง
หุบเหวแห่งความสิ้นหวังเป็นช่วงที่ยากลำบากในการเดินทางตาม Dunning-Kruger Effect แต่ก็เป็นช่วงที่สำคัญในการพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง การเข้าใจและการจัดการกับช่วงเวลานี้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถก้าวผ่านไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
### การยอมรับและเข้าใจธรรมชาติของหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง
การยอมรับว่าการลดลงของความมั่นใจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้จะช่วยให้คุณเข้าใจและจัดการกับหุบเหวแห่งความสิ้นหวังได้ดีขึ้น ในระหว่างที่ความมั่นใจกำลังลดลง ใจของคุณจะเปิดกว้างมากขึ้น จึงรับฟังและเรียนรู้เพิ่มเติมได้ดียิ่งขึ้น[5] นี่เป็นโอกาสอันดีในการเรียนรู้และเติบโต
ช่วงเวลานี้ได้รับการเปรียบเทียบกับ "จุดเดือดความช่างแม่ง" หรือ "Point of not giving a Fuck" ซึ่งเป็นจุดที่คุณไม่สนอะไรแล้ว ไม่สนเรื่องราวไร้สาระที่ทำให้คุณหลงทาง และเลิกเอาตัวเองไปเปรียบกับใครทั้งสิ้น[1] การมองข้ามหมอกขาวแห่งความหลงผิดและความสิ้นหวังจะช่วยให้คุณมองเห็นเนินเขาข้างหน้า
### การใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง
แม้ว่าหุบเหวแห่งความสิ้นหวังจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นโอกาสอันดีในการพัฒนาตนเอง การใช้ช่วงเวลานี้ในการทบทวนความรู้ของตนเอง หาข้อมูลเพิ่มเติม และฝึกฝนทักษะใหม่ๆ จะช่วยให้คุณสามารถก้าวผ่านหุบเหวและก้าวสู่สันเขาแห่งการรู้แจ้งได้
การยอมรับความรู้น้อยของตนเองจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการให้เราสามารถเรียนรู้อย่างยั่งยืน ยินดีและยอมรับคนที่รู้มากกว่าเรา[3] เมื่อเราเริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นคนเปิดใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่มากขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปความมั่นใจก็จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง[3]
## การปีนขึ้นสู่สันเขาแห่งการรู้แจ้งและเนินแห่งความยั่งยืน
หลังจากผ่านพ้นหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง การเดินทางตาม Dunning-Kruger Effect จะนำคุณไปสู่สันเขาแห่งการรู้แจ้งและเนินแห่งความยั่งยืน ซึ่งเป็นช่วงที่คุณพัฒนาความรู้และทักษะที่แท้จริง และมีความมั่นใจที่เหมาะสม
### การสร้างความรู้ที่แท้จริงและความมั่นใจที่เหมาะสม
เมื่อเราลุกขึ้นจาก "หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง" การยอมรับความรู้น้อยของตนเองจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการให้เราสามารถเรียนรู้อย่างยั่งยืน[3] เมื่อคุณเริ่มปีนขึ้นสู่สันเขาแห่งการรู้แจ้ง ความรู้ที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆ พลิกฟื้นความมั่นใจให้กลับคืนมาทีละเล็กละน้อย และการแสดงความคิดเห็นของคุณจะเป็นไปอย่างรอบคอบและตรึกตรองมากขึ้น[5]
ความมั่นใจแบบใหม่นี้จะแตกต่างจากความมั่นใจบนยอดเขาแห่งความโง่เขลา เพราะเป็นความมั่นใจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้และประสบการณ์ที่แท้จริง การพัฒนาตามแนวทางนี้จะดำเนินต่อไปจนกลายเป็นผู้รู้จริง (Guru) ที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นความมั่นใจที่นอบน้อมถ่อมตน ไม่ได้กร่างเหมือนเมื่อก่อน[5]
### การรักษาสมดุลและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การรักษาสมดุลระหว่างความมั่นใจและการเปิดใจเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญในการคงอยู่บนเนินแห่งความยั่งยืน การเข้าใจว่าการเรียนรู้และการพัฒนาตัวเองไม่มีที่สิ้นสุด และการลงทุนที่ดีที่สุดคือลงทุนกับความรู้และลงทุนกับตัวเอง[3] จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเราพัฒนามาถึงจุดนี้ การศึกษาของเราจะยังคงถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นตามความรู้ที่มี ทำให้เกิดความรู้ที่ยั่งยืนและเป็นสิ่งที่ถูกเลื่อนจากความรู้สู่สิ่งที่เรียกว่า "ปัญญา" หรือ Wisdom ในเวลาต่อมา[3] การสร้างนิสัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง
## บทเรียนสำคัญจากการเดินทางตาม Dunning-Kruger Effect
การเดินทางตาม Dunning-Kruger Effect มีบทเรียนสำคัญหลายประการที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน
### การเรียนรู้จากความล้มเหลวและข้อผิดพลาด
การยอมรับว่าความล้มเหลวและข้อผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้จะช่วยให้คุณไม่กลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อได้ลงทุนในหุ้นไทยและได้ผลตอบแทนที่ดีในระดับที่พอใจ หลายคนอาจรู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจและมั่นใจว่าตลาดจะเป็นแบบนี้ตลอดไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้ทำงานที่ยากขึ้นและไม่ประสบความสำเร็จเหมือนก่อน ก็เริ่มตระหนักว่าตัวเองไม่ได้เก่งกาจอย่างที่คิด[4] การเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
### การใช้ความถ่อมตนเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
ความถ่อมตนไม่ได้หมายถึงการมองตัวเองต่ำต้อย แต่หมายถึงการยอมรับข้อจำกัดของตนเองและเปิดใจเรียนรู้จากผู้อื่น การเปลี่ยนแนวคิดจาก "ฉันรู้ทุกเรื่อง" เป็น "เรื่องนี้ยังมีอีกมากมายที่ฉันไม่รู้" จะช่วยให้คุณเปิดใจกว้างและมีโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากขึ้น[2]
ความถ่อมตนยังช่วยให้คุณยอมรับและรู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า "อย่างผมอยู่ตรงนี้เอง ยอมรับว่าโง่ในหลายเรื่อง ต้องถามเขา ต้องถามให้มากที่สุด อย่าไปค้างอยู่บนภูเขาแห่งความโง่ คือรู้น้อยแต่มั่นใจเยอะ ต้องถาม ต้องพัฒนาตัวเองตลอด แล้วสุดท้ายเราจะรู้จริง"[2]
### การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ในองค์กรและสังคม
นอกจากการพัฒนาตนเองแล้ว การส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ในองค์กรและสังคมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ทุกคนตระหนักถึงข้อจำกัดของตนเอง เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และมุ่งมั่นในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ทั้งองค์กรและสังคมพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมเช่นนี้ โดยการเป็นแบบอย่างของการเรียนรู้ตลอดชีวิต การยอมรับข้อผิดพลาด และการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ผู้นำที่ยอมรับว่าตนเองไม่รู้ทุกอย่างและพร้อมเรียนรู้จากทุกคนจะสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการพัฒนาและนวัตกรรม
## สรุป
การก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลาและเดินทางผ่านหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง สันเขาแห่งการรู้แจ้ง ไปจนถึงเนินแห่งความยั่งยืนเป็นเส้นทางที่ยาวนานและท้าทาย แต่ก็เป็นเส้นทางที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง
การตระหนักรู้ว่าตนเองอยู่บนยอดเขาแห่งความโง่เขลาเป็นก้าวแรกที่สำคัญ จากนั้นคุณต้องยอมรับข้อจำกัดของตนเอง เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และอดทนผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก การพัฒนาทักษะอภิปัญญา การรับฟังผู้อื่น และการเรียนรู้ตลอดชีวิตจะช่วยให้คุณสามารถก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลาและพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน
ทฤษฎี Dunning-Kruger Effect ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเท่านั้น แต่ยังสอนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการถ่อมตนและการเปิดใจในการเรียนรู้ตลอดชีวิต การก้าวลงจากยอดเขาแห่งความโง่เขลาไม่ใช่การยอมแพ้หรือการเสียหน้า แต่เป็นการเริ่มต้นของการเดินทางสู่ความรู้และปัญญาที่แท้จริง
Citations:
[1] [Road to 100] Dunning-Kruger effect ยอมรับความเขลา สู่เนินเขาแห่ง ... https://www.blockdit.com/posts/609b84164c89a903f584f903
[2] หัวสมองนั้นเบาหวิว แต่คิดว่าตัวเองสุดแสนฉลาด รู้จัก 'ภูเขาแห่งความโง่' แห่ง ... https://themomentum.co/worktips-dunning-kruger/
[7] ปรากฏการณ์ 'ยิ่งรู้ ยิ่งโง่' Dunning-Kruger Effect กับสิ่งที่นักลงทุน 'ควร ... https://www.finnomena.com/techtoro/dunning-kruger-effect/
[8] คุณจัดการกับหุบเหวแห่งความสิ้นหวังอย่างไร? : r/learnprogramming https://www.reddit.com/r/learnprogramming/comments/rzf7z4/how_do_you_deal_with_the_valley_of_despair/?tl=th
[9] ครูภูวรินทร์ อะทะวงษา - The Dunning-Kruger effect https://sites.google.com/sanpan.ac.th/cooleing/the-dunning-kruger-effect
[10] Dunning-Kruger effect รู้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการรู้ว่าตนเองนั้นยังไม่รู้อะไร https://brandage.com/article/7119/Dunning-Kruger-effect-
โฆษณา