14 มี.ค. เวลา 16:01 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ "รับมือกับความเสี่ยงได้ดี" จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทุกอย่างพังครืนลงมา

ผมเริ่มต้นเทรดด้วยความมั่นใจ คิดว่าตัวเองเข้าใจตลาด อ่านเกมขาด และมีแผนรับมือกับทุกสถานการณ์ แต่เมื่อความโลภเข้าครอบงำ มันเปลี่ยนผมให้กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป จากที่เคยมีแผนการชัดเจน ผมเริ่มตัดสินใจตามอารมณ์ กู้เงินมาลงทุนเพิ่ม คิดแต่ว่าถ้าได้คืนรอบนี้ ผมจะเลิก แต่สุดท้ายทุกอย่างก็สายเกินไป พอร์ตผมล้างเกลี้ยง ตัวเลขในบัญชีเหลือศูนย์
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนตกจากหน้าผา สูญเสียทุกอย่าง ท้อแท้ หมดหวัง ผมไม่ได้แค่สูญเสียเงิน แต่สูญเสียศรัทธาในตัวเอง ความมั่นใจ ความภาคภูมิใจ ทุกอย่างหายไปหมด ผมนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ใจหนึ่งอยากหนีหายไปจากโลกนี้ แต่อีกใจหนึ่งยังไม่อยากจบแค่นี้ ผมต้องหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ต้องหาวิธีดึงตัวเองกลับมา
ผมเริ่มพยายามหาทางออก ลองทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่าน บางวันก็ออกไปวิ่ง บางวันก็ไปอ่านหนังสือ หรือลองเขียนไดอารี่ แต่มันก็เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จิตใจผมยังหมกมุ่นกับอดีต ยังคงตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา ทำไมเราไม่หยุดตั้งแต่แรก ทำไมถึงไม่เห็นสัญญาณที่เตือนมาตลอด ผมวนเวียนอยู่กับคำถามพวกนี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเริ่มเปิดใจให้กับธรรมะ
ผมไม่ได้เป็นคนที่สนใจเรื่องนี้มาก่อน แต่ความรู้สึกสิ้นหวังทำให้ผมต้องการบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น ผมเริ่มดูคลิปเกี่ยวกับธรรมะเรื่อยๆ จนไปเจอกับคลิปหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองของผมไปตลอดกาล — “ยิงธนูดูจิต”
ในคลิปนั้น พูดถึงหลักการฝึกจิตผ่านการยิงธนู และมันให้แง่คิดบางอย่างที่ผมไม่เคยตระหนักถึงมาก่อน สิ่งที่กระแทกใจผมที่สุดมีสามเรื่อง
หนึ่ง — ไตรลักษณ์: ทุกอย่างไม่เที่ยง
อาจารย์ในคลิปพูดถึงความจริงสามข้อของชีวิต — อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรอยู่คงที่ ผมย้อนกลับมามองชีวิตตัวเอง พอร์ตการลงทุนของผมขึ้นลงอยู่ตลอด แต่ผมกลับพยายามไขว่คว้าความแน่นอนในสิ่งที่ไม่มีทางแน่นอน ผมยึดติดกับกำไร ผูกอารมณ์ตัวเองไว้กับตัวเลขในบัญชี ผมลืมไปว่า “มันก็แค่ตัวเลข”
สอง — การแยกอารมณ์ออกจากความคิด
อาจารย์สอนว่า ความคิดและอารมณ์เป็นสองสิ่งที่แยกออกจากกันได้ แต่ปกติเราไม่รู้ตัว เพราะเวลาคิดอะไรขึ้นมา เราจะใส่อารมณ์ลงไปโดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราพลาดยิงธนู ลูกธนูไม่โดนเป้า ความคิดของเราจะเริ่มทำงานทันที “ฉันยิงพลาด” “ฉันไม่เก่ง” “ฉันอ่อนแอ” แล้วอารมณ์ก็จะตามมา — หงุดหงิด ผิดหวัง โกรธตัวเอง
แต่ถ้าเรารู้ทันว่า “นี่เป็นแค่ความคิด” และ “นี่เป็นแค่อารมณ์” เราจะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เพราะแท้จริงแล้ว ความคิดกับอารมณ์เป็นเหมือนก้อนหินที่ถูกยึดติดกัน คนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึก มักจะปล่อยให้อารมณ์พาไป เมื่อโกรธ ความคิดก็พุ่งแรง เมื่อเศร้า ความคิดก็จมดิ่ง พวกมันรวมกันเป็นก้อนเดียวจนแยกไม่ออก
แต่เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันได้ ยิ่งแยกได้ดีเท่าไหร่ เราก็จะเริ่มเห็นว่า อารมณ์เป็นแค่สภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว ส่วนความคิดเป็นเพียงกระแสของจิตที่ไหลไปเรื่อยๆ และเมื่อระหว่างสองสิ่งนี้เริ่มแยกตัวออกจากกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ปัญญา" เราเห็นทุกอย่างชัดขึ้น ไม่ถูกลากไปตามอารมณ์แบบเดิมอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ที่สามารถแยกความคิดและอารมณ์ออกจากกันได้โดยสมบูรณ์ นั่นจึงเป็นบ่อเกิดของปัญญาอันลึกซึ้งที่นำไปสู่การตรัสรู้ ผมเริ่มเข้าใจว่าปัญหาของผมไม่ใช่การขาดทุน แต่เป็นการที่ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดลบๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ผมไม่ได้แพ้ตลาด ผมแพ้ใจตัวเองต่างหาก
สาม — นิพพานจำลองจากการยิงธนู
ก่อนจะยิงธนู นักกีฬาจะต้องทำพิธีกรรมเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วมันคือหัวใจของการฝึกจิต พวกเขาจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ พอถึงจังหวะที่เหมาะสม พวกเขาจะปล่อยลูกธนูออกไป และในเสี้ยววินาทีนั้น จิตจะเข้าสู่สภาวะว่าง เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความกังวลใดๆ มีแค่ลมหายใจและเป้าหมายตรงหน้า มันคือ “นิพพานจำลอง”
ผมเริ่มฝึกหายใจตามแบบนี้ ลองปล่อยความคิดช้าๆ และอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น มันช่วยให้ผมรู้สึกโล่งขึ้น ผมเริ่มมองเห็นปัญหาของตัวเองในมุมที่แตกต่างออกไป ผมเริ่มยอมรับความผิดพลาด ไม่ใช่ในฐานะความล้มเหลว แต่ในฐานะบทเรียนที่ทำให้ผมเติบโตขึ้น
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่การยิงธนูสอนผมคือ “ปล่อย” ปล่อยความคาดหวัง ปล่อยอดีต ปล่อยความกลัวที่จะล้มเหลว และอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ลูกธนูพลาดเป้าแล้วไง? ก็แค่ยิงใหม่ ไม่มีใครยิงถูกทุกครั้ง ไม่มีใครชนะตลอดไป และที่สำคัญ ไม่มีใครแพ้ตลอดไปเช่นกัน
ลองนึกถึงเวลาที่เราถูกตำหนิในที่ประชุม ความคิดแรกอาจเป็น "เราทำพลาดไปแล้ว" แล้วอารมณ์เสียใจหรือโกรธก็ถาโถมเข้ามา ถ้าเราแยกอารมณ์ออกจากความคิดได้ เราจะเห็นว่ามันก็เป็นแค่คำพูดของคนหนึ่งคนเท่านั้น เราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้มันมีอิทธิพลกับเราหรือไม่
หรือเวลาที่เราตั้งเป้าหมายบางอย่างไว้แต่ไปไม่ถึง หลายคนจมอยู่กับความล้มเหลว รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า แต่ถ้าเรารู้จักปล่อย เราจะเห็นว่าความล้มเหลวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่จุดจบ
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายคือความสัมพันธ์ คนเรามักจะเจ็บปวดจากการยึดติดกับคนที่จากไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวที่ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว แต่ถ้าเราเข้าใจว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ เราจะสามารถปล่อยวางและก้าวต่อไปได้
การยิงธนูไม่ใช่แค่การเล็งเป้าและปล่อยลูกธนู แต่เป็นการเรียนรู้วิธี "อยู่กับปัจจุบัน" และ "ปล่อย" เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และชีวิตเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
ผมยังไม่ใช่คนที่บรรลุธรรมอะไรขนาดนั้น แต่ผมเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น ผมเลิกโทษอดีต และมองไปข้างหน้าด้วยจิตใจที่มั่นคงกว่าเดิม
เพราะสุดท้ายแล้ว — ชีวิตก็เหมือนการยิงธนู
เราทำดีที่สุดในจังหวะที่เหมาะสม พอปล่อยไปแล้ว ก็แค่ยอมรับมันให้ได้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ตาม
โฆษณา