Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Seaman Investor (คนเรือหัวหมอ)
•
ติดตาม
15 มี.ค. เวลา 10:14 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เครื่องมือวิเคราะห์หุ้นที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้จัก
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของตลาดหุ้น คุณอาจรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยตัวเลข กราฟ และศัพท์แสงที่ชวนให้เวียนหัว แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของมัน! การลงทุนไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องของการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่ถูกต้อง มาช่วยตัดสินใจให้แม่นยำขึ้น
วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ เครื่องมือวิเคราะห์หุ้น ที่นักลงทุนควรรู้จัก เพื่อให้คุณไม่ต้องหลับหูหลับตาซื้อขาย แต่สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
1. PE Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร)
PE Ratio หรือ Price to Earnings Ratio เป็นเครื่องมือยอดนิยมในการดูว่าหุ้นตัวหนึ่ง "แพง" หรือ "ถูก" เมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ คิดง่ายๆ คือ
ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ PE = 10 เท่า หมายความว่า ถ้าบริษัททำกำไรได้เท่าเดิมทุกปี คุณจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี ถึงจะคืนทุนจากกำไรของหุ้นตัวนี้
ข้อดี
✅ เข้าใจง่าย ใช้เปรียบเทียบหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ดี
✅ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นคุณค่า (Value Investing)
ข้อเสีย
❌ ไม่ได้บอกว่าหุ้นจะโตแค่ไหนในอนาคต
❌ หุ้นบางตัว PE สูงเพราะนักลงทุนคาดหวังการเติบโตที่เร็ว ถ้าไม่โตจริงอาจร่วงหนัก
2. PBV Ratio (อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี)
PBV (Price to Book Value) ดูว่าหุ้นตัวหนึ่งมีราคาถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท
ถ้า PBV < 1 แปลว่าหุ้นนั้นอาจถูกกว่ามูลค่าจริงของบริษัท
ข้อดี
✅ ใช้วิเคราะห์หุ้นในกลุ่มที่สินทรัพย์มีความสำคัญ เช่น ธนาคารหรืออสังหาริมทรัพย์
✅ เหมาะกับการหาหุ้นถูกที่มีโอกาสกลับมาเติบโต
ข้อเสีย
❌ ไม่เหมาะกับหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญามากกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้
❌ บริษัทที่กำลังเติบโตมักมี PBV สูง
3. Dividend Yield (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล)
ถ้าคุณชอบหุ้นที่ "ให้เงินคืน" ทุกปี Dividend Yield คือตัวที่ต้องดู
ถ้า Dividend Yield = 5% หมายความว่า ถ้าคุณลงทุน 100,000 บาท คุณจะได้รับปันผล 5,000 บาทต่อปี
ข้อดี
✅ เหมาะกับนักลงทุนสายปันผลที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ
✅ หุ้นที่ปันผลดีมักเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
ข้อเสีย
❌ หุ้นปันผลสูงบางตัว อาจจ่ายปันผลเพราะไม่มีโอกาสเติบโต
❌ อาจเสียโอกาสลงทุนในหุ้นที่โตเร็วแต่ไม่จ่ายปันผล
ต่อไปเป็นในส่วนการใช้กราฟเทคนิค
4. RSI (Relative Strength Index) - เครื่องมือวัดแรงซื้อแรงขาย
RSI เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ดูว่าหุ้นนั้น "ถูกซื้อมากเกินไป" หรือ "ถูกขายมากเกินไป" โดยดูจากค่าระหว่าง 0-100
RSI > 70 = หุ้นอาจแพงเกินไป
RSI < 30 = หุ้นอาจถูกเกินไป
ข้อดี
✅ ใช้จับจังหวะซื้อขายหุ้นได้ดี
✅ ช่วยนักเทรดหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาสูงเกินไป
ข้อเสีย
❌ อาจให้สัญญาณผิดพลาดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
❌ ไม่ควรใช้ RSI เพียงตัวเดียว ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น
5. MACD (Moving Average Convergence Divergence) - เส้นค่าเฉลี่ยบอกแนวโน้ม
MACD เป็นเครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้มราคาหุ้น ใช้ดูว่าหุ้นกำลังจะ "กลับตัว" หรือ "ไปต่อ"
ถ้าเส้น MACD ตัดขึ้น = สัญญาณซื้อ
ถ้าเส้น MACD ตัดลง = สัญญาณขาย
ข้อดี
✅ ใช้วิเคราะห์แนวโน้มระยะกลางถึงยาวได้ดี
✅ เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการหาจุดเข้าออกหุ้น
ข้อเสีย
❌ อาจเกิดสัญญาณหลอกในตลาดที่ผันผวน
❌ ไม่สามารถใช้คาดการณ์เหตุการณ์สำคัญได้
สรุป: เลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะกับสไตล์ของคุณ
การลงทุนไม่มีเครื่องมือไหนที่ "ดีที่สุด" แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง
• ถ้าชอบหุ้นคุณค่า → ใช้ PE, PBV
• ถ้าชอบหุ้นปันผล → ดู Dividend Yield
• ถ้าชอบเทรดหุ้นสั้นๆ → ใช้ RSI, MACD
ลองฝึกใช้แต่ละเครื่องมือ และอย่าลืมว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
คุณใช้เครื่องมือไหนบ้าง? หรือมีเครื่องมือไหนที่คุณชอบเป็นพิเศษ? มาคอมเมนต์แชร์กันได้เลย!
#การลงทุน #หุ้น #นักลงทุนมือใหม่ #วิเคราะห์หุ้น #เทรดหุ้น #SeamanInvestor #TKMoments #คนเรือหัวหมอ #Seaman #seamanlife
การลงทุน
การเงิน
หุ้น
2 บันทึก
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย