15 มี.ค. เวลา 13:35

5 เหตุการณ์สัญญาณจากนอกโลก ในวัน World Contact Day 15 มีนาคม

เหตุการณ์แปลกประหลาดที่หาคำตอบไม่ได้บนโลกของเรานั้นมีมากมายเกินจะนับ และในหลายๆ เหตุการณ์ก็ถูกเรียกว่าทฤษฎีสมคบคิด แต่ถึงอย่างนั้นประโยคที่ว่า "เราอยู่เพียงลำพังในจักรวาลหรือไม่" ก็ยังมีการหาคำตอบมาจนถึงทุกวันนี้
มาดู 5 เหตุการณ์สำคัญๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่เป็นแรงจูงใจให้ออกค้นหาคำตอบ
1.
Fast Radio Burst อาจนำไปสู่การค้นพบแหล่งกำเนิดสัญญาณที่อาจมาจากอารยะธรรมต่างดาว
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบ FRBs เป็นครั้งแรก และนับแต่นั้นมา พวกมันก็เป็นปริศนาที่ยังไขไม่ออกมาโดยตลอด สัญญาณเหล่านี้ปลดปล่อยพลังงานมากกว่า 500 ล้านเท่าของพลังงานที่ดวงอาทิตย์ผลิตได้ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การศึกษาพวกมันเป็นเรื่องยากมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า แมกนีทาร์ อาจเป็นต้นกำเนิดของ FRBs เนื่องจากพวกมันเป็นดาวนิวตรอนชนิดพิเศษที่มีสนามแม่เหล็กทรงพลังมากกว่าดาวนิวตรอนทั่วไปถึง 1,000 เท่า สนามแม่เหล็กของพวกมันรุนแรงถึงขนาดที่สามารถทำลายโครงสร้างของอะตอม
.
ในปี ค.ศ. 2020 นักวิทยาศาสตร์ได้รับหลักฐานสำคัญที่ช่วยไขปริศนาของ Fast Radio Bursts (FRBs) หรือคลื่นวิทยุลึกลับความเร็วสูง ซึ่งเป็นสัญญาณพลังงานมหาศาลที่ปลดปล่อยจากอวกาศเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่มิลลิวินาทีเท่านั้น
เพื่อพิสูจน์สมมติฐานนี้ ทีมนักวิจัยได้ศึกษาคุณสมบัติ โดยอาศัยปรากฏการณ์ "Scintillation" หรือการกะพริบของแสง ซึ่งเกิดจากการที่คลื่นวิทยุเดินทางผ่านก๊าซระหว่างดวงดาว ยิ่งเดินทางไกลเท่าไหร่ การบิดเบือนของแสงก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ทีมวิจัยพบว่า FRB 20221022A มีการบิดเบือนของแสงที่รุนแรงมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าแหล่งกำเนิดของมันอยู่ใกล้กับวัตถุแม่เหล็กสูงมาก นอกจากนี้ การวิเคราะห์โพลาไรเซชันของสัญญาณ (รูปแบบการหมุนของคลื่น) ยังพบรูปแบบที่บ่งบอกถึงการหมุนของแมกนีทาร์ด้วย
สิ่งที่น่าทึ่งคือ นักวิจัยสามารถระบุตำแหน่งของ FRB 20221022A ได้แม่นยำถึงระดับ 10,000 กิโลเมตร จากแมกนีทาร์แม่ ซึ่งเปรียบเสมือนการวัดขนาดของเกลียว DNA ที่มีความกว้างเพียง 2 นาโนเมตรจากระยะทางเท่ากับระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์!
.
จากการศึกษานักดาราศาสตร์สามารถระบุแหล่งที่มาของ FRB 20221022A ได้อย่างชัดเจน มันเกิดจากสนามแม่เหล็กอันทรงพลังของ แมกนีทาร์ (Magnetar) ในกาแล็กซีที่อยู่ห่างออกไปกว่า 200 ล้านปีแสง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานแน่ชัดว่า FRBs สามารถเกิดขึ้นจากสนามแม่เหล็กของแมกนีทาร์ได้
.
การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยืนยันว่า FRBs สามารถเกิดขึ้นจากแมกนีทาร์ได้จริง แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการศึกษา FRBs ในอนาคต นักดาราศาสตร์สามารถใช้เทคนิคการวิเคราะห์ Scintillation เพื่อศึกษา FRBs อื่นๆ และค้นหาวัตถุประเภทอื่นที่อาจเป็นต้นกำเนิดของสัญญาณ และอาจนำเราไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เช่น แหล่งกำเนิดของสัญญาณที่อาจมาจากอารยธรรมต่างดาวก็เป็นได้!
...
2.
สัญญาณ Wow!
ปริศนาจากจักรวาลที่ยังหาคำตอบไม่ได้
ในค่ำคืนของวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1977 เวลาประมาณ 23:00 น. กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Big Ear ของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต ได้ตรวจพบสัญญาณวิทยุที่ผิดปกติยาวนานถึง 72 วินาที สัญญาณนี้ยังคงเป็นปริศนาแม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า 40 ปี และถือเป็นหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการมีอยู่ของอารยธรรมนอกโลก หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าสัญญาณนี้มีต้นกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา มันจะเป็นหนึ่งในการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
.
สัญญาณ Wow ไม่ได้ถูกสังเกตพบโดยนักดาราศาสตร์โดยตรง แต่ถูกบันทึกไว้โดยคอมพิวเตอร์เมนเฟรมรุ่นเก่าของหอดูดาว Big Ear ต่อมา นักดาราศาสตร์ ดร. เจอร์รี เอห์แมน (Jerry Ehman) ได้ตรวจสอบข้อมูลที่พิมพ์ออกมา และพบลำดับอักขระที่ไม่ธรรมดา “6EQUJ5” ซึ่งแสดงถึงระดับความเข้มของสัญญาณที่สูงกว่าปกติอย่างมาก เขารู้สึกตกตะลึงกับความเข้มข้นของสัญญาณนี้จนต้องวงกลมรอบค่าดังกล่าว และเขียนคำว่า "Wow" ไว้ข้างๆ ซึ่งกลายเป็นที่มาของชื่อสัญญาณ Wow
สัญญาณนี้คือสัญญาณที่มีความเข้มข้นสูงผิดปกติถึง 30 เท่าของระดับสัญญาณพื้นหลัง ซึ่งเป็นค่าที่ผิดปกติสำหรับการรับสัญญาณจากอวกาศ เป็นสัญญาณแคบย่าน (Narrowband Signal) ซึ่งมีความถี่เฉพาะที่ประมาณ 1420.4556 MHz ซึ่งอยู่ใกล้กับค่าความถี่ของไฮโดรเจน (1420 MHz)
ซึ่งเป็นธาตุที่พบมากที่สุดในจักรวาล นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า หากอารยธรรมต่างดาวต้องการส่งสัญญาณ พวกเขาอาจเลือกใช้ความถี่นี้ เพราะต้นกำเนิดของสัญญาณนี้ไม่ได้มากจากดาวสเทียมหรือคลื่นรอบกวนอื่นๆ แต่ดูเหมือนจะมาจากจุดใดจุดหนึ่งในกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius)
.
มีการตั้งสมมุติฐานถึงปริศนานี้
- มีการตรวจสอบว่ามันอาจเกิดจากดาวเทียม หรือคลื่นรบกวนจากโลก แต่ไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่าเป็นเช่นนั้น
- มีการตั้งข้อสังเกตว่าสัญญาณอาจมาจากแหล่งกำเนิดทางธรรมชาติ เช่น พัลซาร์ (Pulsar) หรือควาซาร์ (Quasar) แต่สัญญาณนี้ไม่ตรงกับลักษณะของแหล่งกำเนิดทางธรรมชาติที่ทราบกันดี
- นี่คือสมมุติฐานที่น่าสนใจที่สุด แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันเป็นสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา
.
WOW เป็นหนึ่งในสัญญาณปริศนาที่ยังคงไม่มีคำตอบจนถึงทุกวันนี้ และเป็นหนึ่งในสัญญาณที่มีความหมายมากที่สุดในการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกของเรา
...
3.
The Hessdalen Lights แสงปริศนาแห่งหุบเขาเฮสดาเลน ปรากฏการณ์ลึกลับที่ยังไร้คำอธิบาย
เมื่อพูดถึงแสงเหนือ หลายคนคงนึกถึงการเรืองแสงสีเขียวสวยงามบนท้องฟ้า แต่ที่หุบเขาเฮสดาเลน (Hessdalen) ทางตอนกลางของประเทศนอร์เวย์ ได้มีปรากฏการณ์แสงประหลาดที่แตกต่างออกไป ซึ่งเกิดขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์และผู้ที่ได้พบเห็นมานานหลายทศวรรษ
ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1982-1983 ชาวบ้านในพื้นที่และนักวิจัยได้บันทึกภาพแสงประหลาดที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน แสงเหล่านี้ปรากฏเป็นลูกไฟเรืองแสง สีขาว น้ำเงิน หรือเหลือง บางครั้งก็ลอยอยู่นิ่งๆ และบางครั้งก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
ความลึกลับของแสงเฮสดาเลนไม่ได้มีแค่การมองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น เพราะยังมีการตรวจพบด้วยเรดาร์ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าแสงเหล่านี้มีตัวตนจริงและไม่ได้เป็นเพียงภาพลวงตา
.
ในปี ค.ศ. 1998 โครงการ Hessdalen Automatic Measurement Station (Hessdalen AMS) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลของแสงเหล่านี้โดยอัตโนมัติ และในปี 2018 ได้มีการสร้างหอดูดาว Hessdalen Observatory ที่ระดับความสูงเกือบ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เพื่อให้นักวิจัยสามารถเฝ้าสังเกตการณ์ได้ตลอดทั้งปี
ทฤษฎีที่อธิบายออกมาได้นั้น
1. งานวิจัยในปี ค.ศ. 2007 ระบุว่าบริเวณเฮสดาเลนมีปริมาณแร่สแกนเดียม (Scandium) สูง ซึ่งอาจทำให้เกิดการจุดติดไฟของฝุ่นแร่ที่ลอยขึ้นและเผาไหม้กลางอากาศ
2. ทฤษฎีที่ใหม่กว่าสันนิษฐานว่าแสงเหล่านี้อาจเกิดจากพลาสมาที่ก่อตัวจากการแตกตัวของอนุภาคเรดอนในชั้นบรรยากาศ
3. บางงานวิจัยเชื่อว่าแสงอาจเกิดจากปรากฏการณ์ piezoelectricity ซึ่งเป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้าเมื่อแรงกดทับเปลี่ยนแปลงในแร่ควอตซ์ที่พบได้มากในพื้นที่นี้
แต่อย่างไรก็ตามแสงเฮสดาเลนยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด มันจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั่วโลกที่ค้นหาคำตอบของความลึกลับแห่งแสงเฮสดาเลนนี้
...
4.
The Black Knight Satellite ดาวเทียมปริศนา
นักทฤษฎีสมคบคิดเชื่อว่าดาวเทียม "Black Knight" เป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวที่โคจรรอบโลกมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ แต่ความจริงเป็นเช่นไรกันแน่
ในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2017 เว็บไซต์ Mail Online รายงานข่าวสุดช็อกที่ระบุว่า "ดาวเทียมมนุษย์ต่างดาวที่ถูกส่งขึ้นไปเมื่อ 12,000 ปีก่อนเพื่อสอดแนมมนุษย์ ถูกทำลายโดยหน่วยรบพิเศษของอิลลูมินาติ" นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายทฤษฎีที่พยายามเชื่อมโยงวัตถุปริศนานี้เข้ากับมนุษย์ต่างดาว
เรื่องราวของ Black Knight มีจุดเริ่มต้นย้อนไปไกลถึง 120 ปีที่แล้ว ทฤษฎีนี้อ้างถึงยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวที่โคจรรอบโลกในลักษณะของดาวเทียมขั้วโลก แม้ว่าหลักฐานที่ถูกนำมาใช้จะหลากหลายและไม่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แต่ก็มีคนเชื่อว่า NASA และรัฐบาลพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับมัน
.
เรื่องราวของ Black Knight มีจุดเริ่มต้นย้อนไปไกลถึงกว่า 120 ปี ทฤษฎีนี้อ้างถึงยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวที่โคจรรอบโลกในลักษณะของดาวเทียมขั้วโลก แม้ว่าหลักฐานที่ถูกนำมาใช้จะหลากหลายและไม่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แต่ก็มีคนเชื่อว่า NASA และรัฐบาลพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับมัน
หนึ่งในหลักฐานสำคัญคือภาพถ่ายจากภารกิจ STS-88 ของกระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ในปี ค.ศ. 1998 ซึ่งแสดงให้เห็นวัตถุสีดำลอยอยู่ในวงโคจรโลก ภาพเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดกระแสข่าวลือเกี่ยวกับ "ดาวเทียมปริศนา" ที่โคจรรอบโลกมาเป็นเวลานาน
แต่ Jerry Ross นักบินอวกาศของภารกิจ STS-88 ได้อธิบายว่าภาพดังกล่าวเป็นเพียงแผ่นปกป้องความร้อนของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ที่หลุดลอยออกไประหว่างการเดินอวกาศ ซึ่งต่อมามันก็ตกลงสู่ชั้นบรรยากาศและเผาไหม้ไป
James Oberg อดีตวิศวกรของ NASA และนักประวัติศาสตร์อวกาศ ยังยืนยันว่าภาพถ่ายเหล่านี้เป็นเพียงวัตถุธรรมดาที่สูญหายในอวกาศ ไม่ใช่หลักฐานของยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวแต่อย่างใด
.
นอกจากภาพถ่ายจาก STS-88 แล้ว ยังมีการนำข้อมูลอื่น ๆ มาเชื่อมโยงกับตำนาน Black Knight เช่น
- สัญญาณวิทยุปริศนาของ Nikola Tesla ค.ศ.1899 ซึ่งเทสลาตรวจพบสัญญาณวิทยุแปลกประหลาด และคาดการณ์ว่าอาจมาจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาต่างดาว
- ปรากฏการณ์ Long Delayed Echoes (LDEs) ในปี ค.ศ. 1920 วิศวกรชาวนอร์เวย์ Jørgen Hals ตรวจพบสัญญาณวิทยุที่สะท้อนกลับมาล่าช้าหลายวินาที ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มยังคงไม่สามารถอธิบายที่มาของมันได้
- บทความในนิตยสาร Spaceflight ปี ค.ศ. 1973 โดยนักเขียน Duncan Lunan ตั้งสมมติฐานว่าสัญญาณ LDE อาจเป็นการสื่อสารจากยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว
.
แม้ว่าจะมีการอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภาพถ่าย STS-88 และสัญญาณวิทยุต่างๆ แต่ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับ Black Knight ยังคงแพร่กระจาย เนื่องจาก NASA เคยลบลิงก์ไปยังภาพบางส่วน ซึ่งทำให้ผู้คนสงสัยว่าอาจมีการปกปิดข้อมูลบางอย่าง
James Oberg ชี้ให้เห็นว่า "ความลึกลับของ Black Knight เกิดจากความไม่คุ้นเคยของคนทั่วไปเกี่ยวกับการทำงานในอวกาศ ความเข้าใจผิดเหล่านี้นำไปสู่สมมติฐานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับดาวเทียมปริศนา"
.
ตำนาน "Black Knight" อาจเป็นหนึ่งในเรื่องราวสมคบคิดที่มีอายุยาวนานที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ว่าข้อมูลจะบอกอย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงที่เรื่องนี้ถูกบอกว่าเป็นทฤษฎีสมคบ ยิ่งทำให้เรื่องนี้น่าแปลกมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะต้องการจะปกปิดอะไรบ้างอย่างหรือไม่..
...
5.
The SETI "Breakthrough Listen" Signal สัญญาณ BLC-1 จาก Proxima Centauri
"เราอยู่เพียงลำพังในจักรวาลหรือไม่"
หนึ่งในโครงการที่มีความทะเยอทะยานที่สุดในภารกิจนี้คือ Breakthrough Listen โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจ ยูริ มิลเนอร์ (Yuri Milner) และได้รับการสนับสนุนจากนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง สตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking) โดย Breakthrough Listen เป็นโครงการที่มีขอบเขตกว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการสแกนท้องฟ้าเพื่อค้นหาสัญญาณจากอารยธรรมต่างดาว
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Breakthrough Listen ได้รับความสนใจอย่างมากจากการตรวจพบสัญญาณลึกลับที่ถูกกำหนดชื่อว่า BLC-1 (Breakthrough Listen Candidate-1) สัญญาณนี้ดูเหมือนจะมาจากระบบดาว Proxima Centauri ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ห่างออกไปเพียง 4.24 ปีแสง การค้นพบนี้ก่อให้เกิดความหวังว่าอาจเป็นสัญญาณแรกจากอารยธรรมต่างดาวที่ได้รับการยืนยัน
โครงการนี้เปิดตัวในปี ค.ศ. 2015 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Breakthrough Initiatives ซึ่งเป็นชุดโครงการที่เกี่ยวกับการสำรวจอวกาศและ SETI โครงการนี้ได้รับเงินทุนเริ่มต้น 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ทรงพลัง เช่น กล้องโทรทรรศน์ Green Bank ในสหรัฐฯ กล้องโทรทรรศน์ Parkes ในออสเตรเลีย และ Automated Planet Finder ที่หอดูดาว Lick เพื่อตรวจจับสัญญาณที่อาจมีต้นกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 Breakthrough Listen ได้เริ่มเฝ้าสังเกตการณ์ระบบดาว Proxima Centauri ซึ่งเป็นที่ตั้งของดาวเคราะห์ Proxima b ที่อาจมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมสำหรับการดำรงอยู่ของชีวิต ต่อมา นักวิจัยตรวจพบสัญญาณแคบช่วงความถี่ 982 MHz ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของสัญญาณที่มาจากเทคโนโลยีที่มีต้นกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา
.
BLC-1 คือ
1. แบนด์วิดท์แคบ - สัญญาณนี้มีช่วงความถี่ที่แคบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สอดคล้องกับสัญญาณที่สร้างโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา
2. Doppler Shift - ความถี่ของสัญญาณเปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนที่ของแหล่งกำเนิด ซึ่งอาจบ่งบอกว่าสัญญาณนี้มาจากดาวเคราะห์ที่โคจรรอบ Proxima Centauri
3. การปรากฏและหายไป - สัญญาณนี้ปรากฏขึ้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนจะหายไป และไม่มีการตรวจพบอีกเลย
.
BLC-1 เป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวหรือไม่
หลังจากการค้นพบ BLC-1 นักวิจัยของ Breakthrough Listen ได้ดำเนินการวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อแยกแยะว่าสัญญาณนี้มาจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลกจริงหรือไม่ ซึ่งมีขั้นตอนการตรวจสอบ
1. การวิเคราะห์การรบกวนจากโลก โดยตรวจสอบว่าสัญญาณนี้อาจเกิดจากสัญญาณรบกวนที่มีต้นกำเนิดจากโลก เช่น ดาวเทียม หรือเครื่องส่งวิทยุอื่น ๆ แต่ไม่พบหลักฐานที่ชัดเจน
2. นักดาราศาสตร์พยายามค้นหาสัญญาณ BLC-1 อีกครั้ง แต่ไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าอาจเป็นเพียงสัญญาณรบกวนแบบชั่วคราว
3. การวิเคราะห์เชิงลึกของสัญญาณว่ามีลักษณะที่น่าสนใจ แต่นักวิจัยพบว่าอาจเป็นผลมาจากสัญญาณรบกวนที่ซับซ้อนจากแหล่งกำเนิดบนโลก
ในปี ค.ศ. 2021 นักวิจัยสรุปว่าสัญญาณ BLC-1 มีแนวโน้มสูงที่จะเป็น การรบกวนทางวิทยุจากโลก มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว
แม้ว่า BLC-1 จะไม่ใช่สัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว แต่มันได้สร้างความก้าวหน้าในด้าน SETI โดยมีการพัฒนาการกรองสัญญาณอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มความรอบคอบในการรายงาน รวมทั้งการยืนยันความสำคัญของ SETI ที่แม้ว่าจะไม่ใช่สัญญารากอารยธรรมต่างดาว แต่การค้นพบ BLC-1 ตอกย้ำถึงความสำคัญของการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา และกระตุ้นให้มีการลงทุนใน SETI มากขึ้น
"เราอยู่เพียงลำพังในจักรวาลหรือไม่" ยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ แม้ว่าการตรวจพบ BLC-1 จะไม่ใช่หลักฐานของอารยธรรมต่างดาว แต่ก็เป็นตัวอย่างที่สำคัญของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเป็นก้าวหนึ่งในภารกิจที่อาจนำเราไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
...
ทุกวันที่ 15 มีนาคม ของทุกปี โลกของเราจะเฉลิมฉลอง "วันติดต่อสิ่งมีชีวิตนอกโลก" ซึ่งเป็นวันที่เหล่านักสำรวจอวกาศและผู้ที่สนใจเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวทั่วโลกพยายามติดต่อกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก วันแห่งจินตนาการและความลึกลับนี้ชวนให้เราตั้งคำถามว่า เราอยู่เพียงลำพังในจักรวาลอันกว้างใหญ่หรือไม่..
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับ วัตถุบินลึกลับ (UFOs) ที่ถูกพบเห็นในหลายพื้นที่ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์แปลกประหลาด เช่น วงกลมปริศนาในทุ่งนา (Crop Circles), สัญญาณลึกลับจากอวกาศ และแม้แต่ซากฟอสซิลที่อาจเป็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก ทำให้ความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวยังคงเป็นหัวข้อที่น่าค้นหาต่อไป
.
วันติดต่อสิ่งมีชีวิตนอกโลกถูกจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ ปี ค.ศ. 1953 โดยองค์กร International Flying Saucer Bureau (I.F.S.B.) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1952 โดย อัลเบิร์ต เค. เบนเดอร์ (Albert K. Bender) หนึ่งในนักวิจัยเรื่อง UFOs ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องราวกลับลึกลับขึ้นไปอีกขั้น เมื่อเบนเดอร์อ้างว่าเขาถูกเยี่ยมเยียนโดย ชายลึกลับในชุดดำ (Men in Black) ที่สื่อสารกับเขาผ่านพลังจิตและข่มขู่ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ UFOs ต่อสาธารณชน
ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1953 เบนเดอร์ค้นพบข้อมูลสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับ UFOs และเตรียมจะเผยแพร่ให้โลกรู้ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน แต่ก่อนที่จะเผยแพร่ เขาอ้างว่าได้ถูกคุกคามอีกครั้งโดยชายในชุดดำ ทำให้เขาตัดสินใจปิดตัวองค์กร I.F.S.B. และยุติการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1953 ซึ่งถือเป็น วันติดต่อสิ่งมีชีวิตนอกโลกครั้งแรก สมาชิกของ I.F.S.B. ได้รวมพลังกันส่งข้อความถึงมนุษย์ต่างดาวผ่านพลังจิต โดยเนื้อหาของข้อความเป็นคำขอเพื่อสร้างมิตรภาพและความสงบสุขระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว และหวังให้พวกเขาช่วยให้ชาวโลกตระหนักถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา
.
แม้ว่าองค์กร I.F.S.B. จะไม่อยู่แล้ว แต่จิตวิญญาณของ World Contact Day ยังคงอยู่ ในทุก ๆ ปี นักวิจัยและผู้สนใจทั่วโลกยังคงพยายามศึกษาสัญญาณจากอวกาศและค้นหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก การค้นพบใหม่ ๆ เช่น ภาพจากกล้องโทรทรรศน์ที่บันทึกสัญญาณลึกลับจากอวกาศ หรือภารกิจสำรวจดาวเคราะห์ที่อาจมีสิ่งมีชีวิต ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามนุษย์ยังคงมีความหวังและความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับจักรวาลที่เราอาศัยอยู่
.
ในปี ค.ศ. 2013 มีการฉลองครบรอบ 60 ปีของวันติดต่อสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยขยายการเฉลิมฉลองเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และพยายามส่งข้อความไปยังมนุษย์ต่างดาวอีกครั้งในวันที่ 22 มีนาคม
: เพื่อนคิดว่าอย่างไร..มีใครเคยมีประสบการณ์แปลกๆ แบบมองเห็นอะไรแปลกๆ บนท้องฟ้าไหมครับผม
ปล. ขออภัยที่ไม่สามารถนำภาพที่มีการบันทึกจริงมาลงให้ดูได้ครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: sciencealert
: onthenode
: hessdalen .org
: lifeinnorway
: space
: seti
: nbscience
.
LookAt - ปฏิทินแห่งเรื่องราว
โฆษณา