⚠️เตือนคนไทยระวัง "โรครว้ายๆ" ที่พบได้บ่อยช่วงหน้าร้อนปีนี้
.
☀️ ช่วงนี้อากาศร้อนหลายพื้นที่ อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง #โรครว้ายๆวัยทำงาน เป็นห่วงสุขภาพคนไทยวัยทำงาน ที่ได้รับผลกระทบจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงในช่วงนี้นะคะ
นอกจากอากาศที่ร้อนจัดแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันของเรา และอาจก่อให้เกิดเป็นโรครว้ายๆ ขึ้นมาได้! วันนี้พามาดูกันว่า มีโรคอะไรบ้างที่พบได้ในหน้าร้อน และจะมีวิธีแก้อย่างไรได้บ้าง?
ฮีทสโตรค 🥵
เป็นภาวะที่เกิดจากร่างกายได้รับความร้อนสูง มีอุณหภูมิสะสมสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาจทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ไต และกล้ามเนื้อได้ โดยอาการสำคัญ คือ วิงเวียน อ่อนเพลีย ร่างกายมีความร้อนเพิ่มขึ้น เหงื่อไม่ค่อยออก ผิวร้อน แดง แห้ง
✅ วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดจัดต่อเนื่องนานเกินไป สลับเข้าพักในที่ร่มเป็นระยะ เช่น ทุก 30 นาที หรือทุกชั่วโมง ดื่มน้ำวันละ 8 - 10 แก้ว หากสูญเสียเหงื่อมากควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ ออกกำลังกายภายในอาคาร หรือบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท และใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ผ้าโปร่งสบาย ระบายอากาศได้ดี
โรคผิวหนังในหน้าร้อน 💪
อากาศที่ร้อน และแดดจ้าให้เกิดผิวไหม้จากแสงแดด ผิวคล่ำ และอากาศทีร้อนอบอ้าว ทำให้เกิดโรคผิวหนังชนิดต่าง ๆ ได้ โรคผิวหนังที่พบบ่อยในหน้าร้อน ได้แก่ ผดผื่น ฝ้า กระ เชื้อรา นอกจากนี้ การโดนแดดสะสมเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีการป้องกันจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
✅ วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง ทาครีมกันแดดบริเวณใบหน้า ลําคอ และผิวบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมเพียงพอ ใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หมวก ร่ม หากมีผื่นหรือความผิดปกติใด ๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อาหารเป็นพิษ 🤢
เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน ที่มากับอาหารที่ไม่สะอาด อาหารที่ทําไว้ล่วงหน้านาน ๆ และไม่ได้รับการอุ่นร้อนก่อนรับประทาน อาการที่สําคัญ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ ลำไส้อักเสบ มีไข้ ปวดศีรษะ และอาจรุนแรงจนถึงขั้นหมดสติได้
✅ วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อุ่นอาหารก่อนรับประทานทุกครั้ง หากมีรูป รส กลิ่น สีผิดปกติไม่ควรทาน เลือกกินอาหาร น้ำดื่ม และน้ำแข็งที่สะอาด เลือกซื้อวัตถุดิบที่สด สะอาด ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานร่วมกัน ก่อนหยิบจับอาหารควรล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง หากอาการอุจจาร่วงรุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ไทฟอยด์ 🌡️
หรือ ไข้รากสาดน้อย เกิดจากการรับประทานอาหาร และดื่มน้ำที่ปนเปื้อน เชื้อไทฟอยด์จากอุจจาระหรือปัสสาวะของผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะโรคไทฟอยด์ อาการสําคัญ คือ มีไข้สูงถึง 40.5 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ท้องอืด ท้องเสีย หรือมีอาการผื่นขึ้นตามหน้าอกและลำตัว หากไม่ได้รับการรักษาอาจมีอาการเพ้อเพราะพิษไข้ หรืออ่อนเพลีย รวมถึงอาจมีความรุนแรง ทำให้เกิดอาการโคมาได้
✅ วิธีป้องกัน : ควรดื่มน้ำและกินอาหารที่สะอาด มีภาชนะปกปิดและไม่มีแมลงวันตอม ผู้ป่วยและผู้ที่เป็นพาหะโรคไข้ไทฟอยด์ควรหลีกเลี่ยงการประกอบอาหารให้ผู้อื่นรับประทาน และฉีดวัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ 1-3 ปี สำหรับเด็กอาจเริ่มฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ
โรคพิษสุนัขบ้า 🐶
เกิดจากเชื้อไวรัสเรบีส์ พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด โดยเชื้อจะเข้าทางบาดแผลที่ถูกกัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีบาดแผล บริเวณเยื่อบุตา หรือปาก อาการที่พบ จะเริ่มจากการมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน กระวนกระวาย นอนไม่หลับ บางรายมีอาการเจ็บคล้ายเข็มทิ่ม หรือคันอย่างมากบริเวณที่ถูกกัด ต่อมาระยะที่สอง มีอาการทางสมอง มีอาการสับสน วุ่นวาย อยู่ไม่นิ่ง กลืนลำบาก รวมถึงกลัวน้ำ
จากนั้นอาจมีอาการชักและเป็นอัมพาต ระยะสุดท้าย อาจมีภาวะหายใจล้มเหลว หัวใจหยุดเต้น โคม่า และเสียชีวิต
✅ วิธีป้องกัน : 1.ป้องกันสัตว์เป็นโรค นำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนเมื่ออายุ 2 เดือน เข็มที่สองฉีดหลังจากเข็มแรก 3-4 สัปดาห์ และฉีดซ้ำทุกปี 2.ป้องกันการโดนกัด อย่าแย่สุนัขให้โมโห อย่าเหยียบอวัยวะสัตว์หรือทำให้ตกใจ อย่าแยกสัตว์ที่กัดกันด้วยมือเปล่า อย่าหยิบชามข้าวขณะที่สัตว์กำลังกิน อย่ายุ่งกับสัตวืที่ไม่มีเจ้าของ 3. ป้องกันหลังถูกกัด รีบล้างแผลด้วยน้ำและสบู่อย่างเบามือนานอย่างน้อย 15 นาที ใส่ยาฆ่าเชื้อที่บาดแผล และไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และกักสุนัขเพื่อดูอาการ 10 วัน
🔥 หน้าร้อนปีนี้ หมั่นดูแลสุขภาพให้ปลอดภัย ด้วยความห่วงใยจากพวกเรา #โรครว้ายๆวัยทำงาน ค่า❤️
ที่มา : กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, สสส.
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
