16 มี.ค. เวลา 09:34 • ความคิดเห็น

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

คำสุภาษิตที่กล่าวว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” ซึ่งก็คือการเห็นผิดเป็นชอบ มักถูกใช้ในการว่ากล่าวตักเตือนผู้ที่หลงผิดในสังคม โดยผู้ที่หลงผิดนั้นก็มีอยู่มากมายถมเถทุกยุคทุกสมัย หากแต่สิ่งสำคัญคือการมีผู้ที่ไม่หลงผิดและสามารถคอยตักเตือนผู้ที่หลงผิดได้ เพื่อที่จะรักษาไม่ให้บรรทัดฐานของสังคมเรานั้นตกต่ำลง แต่เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วพอลองมองไปดูที่สภาพสังคมในปัจจุบันกลับเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจเป็นอย่างมาก ผู้คนจำนวนมากอยู่ในสภาวะหลงผิดและหลอกตัวเองว่าสิ่งที่เชื่อนั้นถูก ราวกลับว่าสังคมไทยเรากำลังป่วยอยู่
เหตุที่ผู้เขียนมองว่าสังคมเรากำลังป่วยและผู้คนกำลังอยู่สภาวะหลงผิด เพราะมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เชื่อได้ว่ากลุ่มคนจำนวนมากหลายกลุ่มกำลังสร้างคติความเชื่อแบบแปลกประหลาดขึ้นมา ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างในประเด็นที่เห็นเด่นชัดในสังคมไทยในปัจจุบัน ดังนี้
  • การสูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือพอต
หากให้เปรียบสังคมไทยกับปัญหาพอตในปัจจุบันก็คงเปรียบได้ว่า “เห็นพอตเป็นเหรียญกล้าหาญ” นี่คือสิ่งที่แม้แต่ผู้เขียนเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย แต่กลับเป็นเรื่องตลกร้ายที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงที่ยังคงแก้ไขไม่ได้ มีผู้คนจำนวนมากไม่น้อยที่กำลังเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า ณ ขณะนี้ ด้วยเหตุที่ว่าอยากสูบเพื่อที่จะได้รับการยอมรับ เพื่อที่จะให้ตัวเองรู้สึกว่าเท่หรือเก่ง บางรายถึงขั้นที่โพสต์ลงโอ้อวดในสื่อสังคมออนไลน์ถึงพฤติกรรมอันน่าสมเพชนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่หลายคนกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติในการทำสิ่งไม่ดี แหกกฏหมายบ้านเมือง เพียงเพื่อพยายามแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นอิสระจากกฏเกณฑ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนยอมรับไม่ได้และเห็นต่างเป็นอย่างมาก การที่เชื่อว่าสูบพอตแล้วเป็นอิสระนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์อย่างร้ายแรง เพราะนี่คือกับดักทางความคิดชั้นยอดในกักขังคนๆหนึ่งไว้ในความเชื่อที่ผิดๆ เขาจะคอยหลอกตัวเองไปเรื่อยๆว่าตนเป็นอิสระ เพราะจริงๆแล้วเขาก็แค่ไม่กล้ายอมรับว่าตนก็เป็นแค่คนดื้อรั้นเป็นบุคคลขาดความอบอุ่นที่น่าเวทนาสงสาร
ความร้ายกาจอีกประการหนึ่งของลัทธิพอตนิยมก็คือความง่ายต่อการเข้าถึงมือเยาวชน ในปัจจุบันพบว่าพอตสามารถเข้าถึงง่ายมากในแทบทุกช่วงวัย และพบได้แพร่หลายมากในสถานศึกษาหลายแห่ง เรื่องนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้บรรดาผู้ขายที่ไม่รู้จะเลวทรามต่ำตมกันถึงขั้นไหนถึงมากมุกมากวิธีในการขายพอตในการหากินกับการทำลายประเทศชาติ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องที่ล้มเหลวเป็นอย่างมากในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดจนไม่สามารถปกป้องเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติไว้ได้
สำหรับผู้เขียนแล้วเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเป็นอย่างมากที่เวลาเข้าไปในโซเชียลมีเดียแล้วเห็นแต่คลิปเด็กเล็กสูบพอตโชว์ หรือที่เลวร้ายกว่าคือผู้ปกครองเป็นคนที่ให้ลูกเล็กสูบพอต พ่อแม่ที่มีหน้าที่ปกป้องลูกกลับกลายมาเป็นภัยร้ายต่อลูกซะเอง และอีกอย่างที่ผู้เขียนมองว่าตลกร้ายในร้ายเป็นอย่างมากก็คือ พรรคการเมืองบางพรรคเลือกที่จะเสนอให้ผ่านกฏหมายรับรองบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นสิ่งที่ถูกฏหมายเพื่อจะเรียกคะแนนเสียงจากกลุ่มพอตนิยม ทั้งที่บรรดาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
  • เยาวชนกับอบายมุข
“เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว” ซึ่งก็เป็นผ้าขาวที่ง่ายต่อการเปื้อนและพร้อมจะเปื้อนได้ทุกเมื่อหากอยู่ในที่ที่ผิด เยาวชนกับอบายมุขคือหนึ่งในปัญหาสำคัญของชาติเพราะมันเป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตคุณภาพประชากรของไทย และอาจมองได้ว่าปัญหานี้เป็นปัญหาเดียวกันกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ในปัจจุบันพบว่ามีเยาวชนไทยจำนวนมากที่ดื่มแอลกอฮอล์เพื่อที่จะเข้าสังคม เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม หรือเพื่อการสังสรรค์ ถ้าหากท่านอ่านมาถึงจุดนี้จะเห็นได้ว่าปัญหาที่กล่าวตลอดมาล้วนมีสาเหตุที่คล้ายคลึงหรือสาเหตุเดียวกันด้วยซ้ำในบางกรณี
เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่เยาวชนจะหลงผิดจากการชักจูงโดยสภาพแวดล้อม แต่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถยอมรับและปล่อยปะละเลยได้ ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ผู้ใหญ่ต้องทำหน้าที่ปกป้องเยาวชนจากสิ่งเหล่านี้ คอยแนะนำให้พวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ไม่ดีมันไม่ดีอย่างไร เลิกทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้แก่เด็ก ถ้าไม้เบาคุมไม่อยู่ก็ควรลองใช้ไม้หนัก บางทีการเชือดไก่ให้ลิงดูก็อาจเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลในปัจจุบัน เพราะเด็กสมัยนี้ห่วงแต่เรื่องภาพลักษณ์ การทำให้ภาพลักษณ์เสียต่อผู้คนก็อาจทำให้เกิดหลาบจำขึ้นได้
  • โรคหิวแสง
“โรคหิวแสง” เป็นอาการที่ไม่ใช่อาการป่วยทางการแพทย์แต่อย่างใด แต่เป็นการเปรียบเปรยอาการของคนที่ความต้องการอย่างบ้าคลั่งในการอยากโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือเรื่องไม่ดีก็ตาม อยากอวดเบ่งแสดงทักษะความสามารถของตนอย่างยับยั้งชั่งใจไม่ได้ หรือแค่อยากมีส่วนรวมในเหตุการณ์สำคัญ โรคหิวแสงสามารถพบได้ในทุกช่วงวัยแต่ส่วนใหญ่มักพบมากในวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยกลางคน โดยอาการอาจมีได้หลายระดับตั้งแต่อยากเด่นในวงเพื่อนใกล้ชิดทั่วไป หรือโชว์อวดในโซเชียลมีเดีย หรือถ้าถึงขั้นหายนะก็ออกไปเถียงกันในรายการโทรทัศน์
หลายท่านอาจสงสัยว่าประเด็นของโรคหิวแสงนี้มาเกี่ยวข้องกับการเห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้อย่างไร ก็ต้องชี้ให้เห็นว่าใจสำคัญของโรคหิวแสงนี้คือความต้องการอยากเป็นส่วนสำคัญของสังคม ความอยากได้รับการยอมรับจากผู้คน หรือการขาดความสุขจนอยากให้คนอื่นหันมาสนใจ สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการกระทำที่เป็นโทษแต่ในหัวผู้กระทำกลับเข้าใจว่าตนทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ เป็นความหลงผิดอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งในหลายครั้งการกระทำเหล่านี้ก็สร้างผลเสียต่อสังคมมหาศาล อย่างการเป็นเกรียนมือคีย์บอร์ดที่วันๆคอยแต่ด่าทอผู้อื่นอย่างไร้เหตุบนสื่อสังคมออนไลน์ ไซเบอร์บูลลี่ด้อยค่าความเป็นคนของผู้อื่น กดคนอื่นให้ต่ำลงเพื่อยกให้ตัวเองรู้สึกเหนือขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันไทยเราจะมีกฏหมาย พรบ.คอมพิวเตอร์ แล้วก็ตาม แต่การมีอยู่ของโรคหิวแสงในสื่อสังคมยังคงมีอยู่
  • ลัทธิกระแสนิยม
หนึ่งในสิ่งที่บ้าคลั่งที่สุดของสังคมไทยก็คือ “กระแสนิยม” การตามกระแสของสังคมไม่ใช่สิ่งที่ผิดและสามารถทำได้ หากแต่การตามกระแสสังคมโดยปราศจากวิจารณญาณอาจสร้างความเสียหายต่อตนเองและสังคมได้ และหากกระแสนิยมที่เกิดขึ้นเป็นกระแสของความหลงผิดก็อาจสร้างความเสียต่อสังคมในวงกว้างได้
อย่างกรณีคดีการฆาตรกรรมน้องชมพู่ที่บ้านกกกอก ซึ่งมีตัวละครสำคัญอย่างลุงพล-ป้าแต๋น ที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะผู้ต้องสงสัย แต่เนื่องจากความนิยมของคดีที่เป็นที่โด่งดังไปทั้งประเทศจึงทำให้ลุงพล-ป้าแต๋น ที่อยู่ในฐานะสถานะผู้ต้องสงสัยกลายเป็นบุคคลบันเทิงในชั่วข้ามคืน มีผู้คนจำนวนสนุบสนัน บริจาคให้ของขวัญให้เงินทุน จนทั้งสองกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น ในขณะที่การให้ความเป็นธรรมแก่น้องชมพู่ผู้ล่วงลับกลับถูกลบเลือนด้วยกระแสนิยมในตัวลุงพล-ป้าแต๋น ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ลุงผลที่เป็นผู้กระทำผิด
ยังมีอีกหลายคดีหลายเหตุการณ์มากมายที่สังคมเราให้ค่ากับสิ่งที่ไม่สมควรให้อย่างไร้เหตุผล การบริจาคเงินให้คนที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นคนดีหรือไม่ แสดงให้เห็นถึงการขาดสติและความหลงผิด ซึ่งจริงๆแล้วกรณีนี้ก็อาจเป็นต้องการความยอมรับในรูปแบบที่ว่าสังคมนิยมอะไรเรานิยมตาม หรืออยากได้การยอมรับจากคนที่เราชอบที่เราบริจาคเงินไปให้
สี่ประการที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของตัวอย่างภาวะหลงผิดในสังคมไทยในปัจจุบัน และในสี่ประการดังลก่าวมีสิ่งสำคัญที่เห็นเด่นชัดอย่างหนึ่งเลยก็คือ “การต้องการความยอมรับ” ในบางครั้งที่เราต้องการความยอมรับมากจนเหตุ จนเกินขอบเขตของสิ่งที่ควรจะเป็น ทำให้เราขาดซึ่งวิจารณญาณ ขาดความยับยั้งชั่งใจ นำไปสู่การกระทำอันโง่เขลา หรือการกระทำที่ขาดซึ่งคุณธรรม สิ่งเรานี้อาจไม่เกิดขึ้นหากเรารู้จักพอใจกับสิ่งที่เราเป็น พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ แล้วใช้ชีวิตอย่างมีสติอยู่ตลอดในทุกการกระทำ
ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนสามารถทำให้สังคมนี้ดีและน่าอยู่ขึ้นได้หากร่วมแรงใจช่วยกัน ขอเพียงแค่ตอนนี้ให้ทุกคนเริ่มจากลดความหยิ่งทะนงในตัวเองออกแล้วพิจารณาสิ่งที่ผู้เขียนพยายามสื่อสาร อย่างน้อยเพียงเท่านี้เราพดที่จะสามารถรักษาภาวะป่วยหลงผิดของสังคมเราได้้แล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างยิ่งที่อ่านสิ่งที่ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดมาจนจบ หากในบทความนี้มีส่วนไหนที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่พอใจ หรือมองว่าไม่เหมาะสม ก็สามารถให้ความเห็นติเตือนทางผู้เขียนได้ตลอดเวลา ผู้เขียนขอน้อมรับคำแนะนำและคำติเตือนทั้งหมดด้วยความเคารพ และขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้ไม่พึงพอใจ
โฆษณา