Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Principle4biz
•
ติดตาม
17 มี.ค. เวลา 03:47 • ธุรกิจ
ความรู้เชิงเทคนิค (Technical knowledge)
ในวิชาการทางด้านจัดซื้อที่ผมใช้ประกอบอาชีพอยู่ ในฐานะที่ปรึกษา และผู้ให้การอบรมนั้น จากประสบการณ์ของผมพบ ความรู้นี้ เป็นเรื่องที่หลีกเลียงไม่ได้ ที่นักจัดซื้อจะต้องมีความรู้เชิงเทคนิค (Technical Knowledge) เพื่อเอามาใช้ในการทำงานจัดซื้อ (Purchasing)
Technical Knowledge ในมุมของผมจะหมายถึง ความรู้เชิงช่าง เพื่อการผลิต การซ่อมบำรุง การควบคุมเครื่องจักร และอุปกรณ์ ตามแต่ธุรกิจนั้นๆ เช่น ความรู้ในการผลิตขวดพลาสติก เราจะต้องรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบ (Material Knowledge) การผลิต (Production Knowledge) เครื่องมือและเครื่องจักร (Tool & Machine) ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมด จะมีความแตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเลยอยากแชร์ ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับความรู้เชิงเทคนิค ในธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์
Case #1 : ผมเป็นคนที่ชอบใช้รถยนต์ยุโรป จากการออกแบบของเขา โดยเฉพาะรถที่ผลิตในช่วงปี 90 ผมก็ลองของโดยหา Audi A80 มาคันหนึ่ง ผลก็คือซ่อมไปแสนกว่า ถึงจะวิ่งได้ดี ซึ่งก็ทำให้มีประเด็นมาเล่าให้ฟัง รถคันนี้มันมีปัญหาที่จะต้องปราบมันให้อยู่ นั้นก็คือ
รถวิ่งแล้วกินน้ำมันมาก และมีควันดำออกจากท่อไอเสีย ผมต้องใช้ถึงอู่ซ่อมถึง 3 อู่ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ทั้งที่อู่ทั้งหมดนั้น ก็ซ่อมรถยี่ห้อนี้โดยตรง เสียเงินแต่ละที่เป็นหมื่นก็ แก้ปัญหานี้ไม่ได้ จนต้องมานั่งวิเคราะห์เอง ว่ามันเกิดจากอะไร
ความรู้จากที่ทำงานเก่า ที่ทำธุรกิจเปลี่ยนเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันให้มาเป็นแก๊ส (ทางวิศวกรรมเรียกว่า retrofit หรือการอัพเกรดเครื่องยนต์) เลยได้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่เรียกว่า ICE (Internal Combustion Engine) ซึ่งรถยนต์ในปี 90 นั้นก็เริ่มมีการใช้ ECU (Electronic Control Unit)
โดยหน้าที่ของ ECU จะควบคุมการจุดระเบิดของเครื่องยนต์
โดย ECU จะรับสัญญาณจากอุปกรณ์วัดต่างๆ (ที่เรียกว่า Sensor) และทำการประมวลผล แล้วสั่งการให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้แก่ หัวฉีดน้ำมัน (Injector),วาว์ลอากาศ (Airflow) ทำงาน โดยส่งน้ำมันและอากาศเข้าไปในลูกสูบ ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการทำเผาไหม้ที่สมบูรณ์ที่สุด
แต่ถ้ามี Sensor ตัวใดตัวหนึ่งบกพร่องก็จะทำให้ ECU ทำงานผิดพลาดไปด้วย และ Sensor ที่มีผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์อย่างมากก็คือ Oxygen Sensor
Oxygen sensor มันทำงานอย่างไร มันจะคอยตรวจวัดไอเสีย ที่ออกจากท่อไอเสีย ว่าไอเสียนั้นมี Oxygen ออกมาในปริมาณมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับ oxygen ในอากาศปกติ ถ้าปริมาณ Oxygen ที่ออกมามีมาก ก็แสดงว่า มีการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ เพราะถ้ามันเผาไหม้สมบูรณ์ มันไม่ควรจะมี oxygen เหลืออยู่ และเมื่อ Oxygen sensor ที่เสื่อมคุณภาพ ก็จะไม่สามารถส่งสัญญาณที่ถูกต้องออกไปให้กับ ECU
ซึ่งจะทำให้ ECU ตีความที่ผิดพลาด และคิดว่าการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ นั้นมีส่วนผสมของน้ำมันน้อยกว่าอากาศ มันก็จะจ่ายน้ำมันหรือแก๊สให้มากขึ้นอีก และมันก็จ่ายมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และจะไม่หยุด ผลก็คือ ปัญหาการเผ่าไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่หมด จนเกิดควันดำ และกินน้ำมันมาก
ผมก็ได้ใช้ความรู้นี้ ไปบอกอู่ที่ 3 และซื้อ Oxygen sensor จาก E-bay มาให้ช่างเอาไปเปลี่ยน ก็สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว !
หมายเหตุ : ลองสังเกตดูนะครับ รถใหม่ๆคุณจะไม่เคยได้กลิ่นน้ำมันจากท่อไอเสียเลย แต่เมื่อรถยนต์มีอายุใช้งานเกินแสนกิโลขึ้นไป คุณจะเริ่มได้กลิ่นน้ำมันจากท่อไอเสีย แน่นอนอัตรากินน้ำมันก็เริ่มมากขึ้น แต่นั้นยังไม่ถึงขั้นร้ายแรงแบบรถของผม
: ถ้าไอเสียเป็นสีขาว ก็แสดงว่าน้ำมันเครื่อง (engine oil) รั่วเข้าไปในลูกสูบ จนน้ำมันเครื่องถูกเผาไหม้จะเกิดเป็นควันสีขาวออกทางท่อไอเสีย (ซึ่งจะต่างจากกรณีของควันดำ)
: รถใช้แก๊ส ในที่นี้หมายถึง CNG / LPG
Case #2: รถ Ford focus 1.8 cc Y2005 นี้ก็เป็นรถของแม่บ้านผมเอง มีปัญหาว่า กระจกมองข้างทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถปรับระดับได้ ปรับแล้วก็เปลี่ยนตำแหน่งเองอีก แถมได้ยินเสียงมอเตอร์กระจกมองข้างทำงานตลอดเวลาอีก แน่นอนรถอายุ 20 ปีแล้ว จะเข้าศูนย์ก็คงไม่เหมาะ ก็ต้องพึ่งอู่นอกล่ะ
ผมก็เช็คไปหลายอู่ Ford ก็ได้คำตอบว่า ต้องเปลี่ยนกระจกมองข้าง ราคาศูนย์ข้างละประมาณ 7,000 บาท ! 2 ข้างก็หมื่นกว่าล่ะ ผมมีแผนที่จะเปลี่ยนรถคันนี้อยู่แล้ว ก็เลยไม่อยากจะลงทุนอีก เลยหาทางออกที่ประหยัดกว่า โดยสอบถามเพื่อนที่เป็นวิศวกรไฟฟ้า เขาแจ้งว่าปัญหาแบบนี้ น่าจะเป็นที่สวิตช์ควบคุมมากกว่า ! ผมฟังคำอธิบายแล้ว ก็คิดว่านะจะใช่ ก็เลยไปซื้อ สวิตช์กระจกมองข้าง ตรงรุ่นของมันเลย (ซื้อ online ราคาไม่กี่ร้อย) ใช้เวลาสั่งปริมาณ 1 อาทิตย์
แต่กว่าจะได้ของมา เสียงมอเตอร์ในกระจกมองข้าง มันเงียบไปแล้ว ! ซึ่งมันอาจหมายถึงมอเตอร์มันไหม้ และเสียไปแล้ว หรือเปล่า ! แล้วการเปลี่ยน สวิตช์กระจกมองข้าง มันจะได้ผลเหรอ !
เมื่อได้ของมา ก็ต้องลองล่ะ เอาไปให้ช่างไฟฟ้ารถยนต์ ที่เขารับติดตั้งวิทยุในรถยนต์ ช่วยใส่ให้ เมื่อช่างเปิดฝาประตูข้างคนขับ เพื่อเอาสวิตช์ตัวใหม่ลองใส่
ผลก็คือ สวิตช์ตัวใหม่ไม่สามารถควบคุมกระจกมองข้างได้ ช่างก็สรุปว่า กระจกมองข้างคงจะเสียไปแล้ว แนะนำว่า ไม่ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนกระจกก็ได้ ก็ใช้ตัวเก่าไป ส่วนการปรับก็ใช้การปรับด้วยมือแทนไปเลย เหมือนรถรุ่นเก่าที่เป็นแบบ Manual ก็จบแค่นี้ละครับ
แต่มันก็ไม่จบแค่นี้สิ !
เพราะหลังจากที่ ช่างประกอบฝาประตูข้างกลับเข้าไปอย่างเดิม ตอนจะกลับนี้สิ รถสตาร์ไม่ติด อาการของมันคือ ตอนสตาร์มันติด แต่เครื่องมันไม่ทำงานต่อ และดับไปเอง เหยียบคันเร่งเครื่องก็ไม่ขึ้น ช่างก็งงบอกว่า อาการเหมือนน้ำมันหมด และบอกเขาก็ทำแค่ตรงประตูเท่านั้น เขาไม่เกี่ยวกับปัญหานี้ !!
คราวนี้ซวยเลย จะทำอย่างไงดีล่ะ คงต้องหาช่างซ่อมรถโดยตรง มาดูแล้วล่ะ
ก็ต้องเข็นรถไปพักไว้นอกร้านก่อน ผมก็มีธุระจะต้องทำให้เสร็จก่อน แล้วจะโทรหาอู่ซ่อมให้มาดู
กว่าธุระจะเสร็จก็บ่าย ถึงได้มาหาเบอร์อู่ที่ซ่อมรถ Ford โดยตรง (อู่เดิมที่เคยซ่อม เรื่องระบบไฟฟ้า เขาไม่เก่ง แถมย้ายไปคลอง 4 ลำลูกกาอีก อีกซึ่งไกลมาก) หาได้มา 2 อู่ ที่อยู่ไม่ไกลมาก สอบถามแล้ว ไม่มีบริการนอกสถานที่ และต้องลากรถไปอู่ สอบถามเบื้องต้น ช่างบอกว่า อาการแบบนี้ น่าจะมาจากปั้มน้ำมัน (ช่างจะเรียกว่าปั้มติก) น่าจะเสีย
ผมบอกเจ้าของอู่ว่า ผมเพิ่มเปลี่ยนปั้มติกไปเมื่อปีที่แล้วเอง 8,000 บาท เจ้าของอู่บอก มันน่าจะเป็นของปลอมนะ และของ ford จะต้องหมื่นกว่า !
ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมคงต้องเสียอีกเป็นหมื่นแน่แล้ว (ค่ารถลากก็ 2,000 กว่าบาทแล้ว ค่าปั้มติกอีกล่ะ) ช่วงบ่ายนั้นก็ต้องคิดว่า จะทำอย่างไงต่อดี จะไม่รีบก็ไม่ได้ เดี่ยวแม่บ้านจะบ่นเอา แถมรถก็จอดที่ข้างร้านเขาอีก
ผมมานั่งคิดดูว่า อาการรถสตาร์ไม่ติดแบบนี้ มันไม่เคยเกิดมาก่อน สตาร์ครั้งเดียวรถก็ติดแล้ว ไม่มีอะไรที่แสดงความผิดปกติ และถ้ามันจะเกิด ก็น่าจะเป็น อาการที่เกี่ยวระบบไฟฟ้า เพราะจะเป็นที่ปั้มติกก็ไม่น่าใช่ เพราะเราก็เพิ่มเปลี่ยนไปเมื่อปีที่แล้ว แล้วถ้าเราเอารถไปให้อู่ แล้วเขาเปลี่ยนปั้มติกให้แล้วไงล่ะ มันแก้ได้จริงเหรอ แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ เสียเงินฟรีหรือเปล่า!!
ผมจำได้ว่า มีประสบการณ์เกี่ยวรถคันนี้ 10 ปีก่อน แม่บ้านขับรถไปกระแทกลูกระนาดบนถนน แล้วเครื่องก็ดับแบบสตาร์ไม่ติด เลยต้องเรียกรถมายกไปศูนย์ ให้ตรวจเช็ค ผลก็ออกมาว่า sensor ได้ตัดระบบการจ่ายน้ำมัน ทำให้สตาร์เครื่องไม่ติด การแก้ไขก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็คงเป็นการเข้าไปจูนระบบไฟฟ้าให้กลับมาเหมือนเดิม ซึ่งก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรมาก
เหตุผล : เขาออกแบบระบบนี้ขึ้นมา เพื่อป้องอุบัติเหตุ เช่น เมื่อรถคว่ำหรือชนกัน แล้วน้ำมันรั่วออกมาอาจเกิดไฟไหม้ได้ แต่ระบบนี้จะทำการปิดไม่ให้มีน้ำมันรั่วออกมา ถือเป็นระบบที่ให้ความปลอดภัยที่ดี
อาการสตาร์ไม่ติดของวันนี้ ก็เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อคิดได้ เราน่าจะไปดูระบบไฟฟ้า เช่น ฟิวส์ ว่ามันขาดไปหรือเปล่า เพราะจะทำให้ปั้มติก มันไม่ทำงาน เพราะช่างไฟฟ้าเขาก็เอาเครื่องมือตรวจวัดไปทำงานที่ประตูข้างด้วย ซึ่งมันมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่ในบริเวนนั้นหลายตัว อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการซ๊อต หรือเกิดการกระตุ้นในระบบไฟฟ้าขึ้นมา จนส่งผลให้ปั้มติกตัดการทำงานได้
เมื่อคิดได้ ผมก็กลับไปที่รถ ไปเปิดคู่มือรถดูว่า Fuse Box มันอยู่ตรงไหน และการเปิดคู่มือรถก็กลายเป็นโชคให้กับผมไป
เพราะ เปิดไปเจอหมวด เหตุฉุกเฉิน และมันมีหัวข้อ สวิตช์ตัดการทำงานระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อเปิดเข้าไปดู ก็มีการแนะนำให้ไปกดปุ่มที่ใต้คอนโซนใกล้ๆประตูข้างด้านฝั่งคนขับ โดยทำควบคู่ไปกับการบิดกุญแจรถ ตามตำแหน่งที่กำหนด หลังจากลองทำไป 2 ครั้ง รถก็สตาร์ติดแล้ว !!
ทั้ง 2 กรณีนี้ ผมกำลังจะบอกอะไร? บอกกับใคร ?
บอกอะไร ? มันเป็นเรื่องของ ความรู้เชิงเทคนิค (Technical knowledge) ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ จากการทำงาน จากประสบการณ์ในชีวิต คุณก็ไม่จำเป็นต้องจบขนาดวิศวกร เพื่อจะมาทำความเข้าใจ และไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ลึกขนาดโมเลกุล หรืออตอม เราก็สามารถที่จะแก้ปัญหาในชีวิต หรือในการทำงานของเราได้
บอกกับใคร ?
> เจ้าของอู่รถซ่อมรถทั้งหลาย ที่ทำท่านอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเปลี่ยนอะไหล์ให้กับเรา ไม่ใช่การซ่อมนะครับ แน่นอนการวินิจฉัยของท่าน คือ การเปลี่ยนอะไหล์ ให้กับลูกค้าของท่าน และเสียเงินให้กับท่านด้วย ก็ขอให้แม่นๆหน่อย โดยเฉพาะ พวกท่านที่บอกตัวเองว่า เป็นอู่เฉพาะแบรด์ นั้นแสดงว่าคุณเชี่ยวชาญในแบรด์นั้นๆใช่มั้ย !
> นักจัดซื้อ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ เพื่อรับผิดชอบ ในสิ่งที่เราจะต้องจัดซื้อให้ได้ เพราะ เราไม่ได้มีหน้าที่แค่ออกใบสั่งซื้อ แล้วก็ตามให้ของเข้ามา
> สำหรับแผนกจัดซื้อ ผมบอกได้เลยว่าพวกเรามีปัญหาใน ความรู้เชิงเทคนิค (Technical knowledge) จากเหตุอะไรล่ะ
ก็ 90% ของแผนกจัดซื้อ เราไม่มีวิศวกรประจำแผนก และ 70% เป็นสุภาพสตรี แค่นี้เราก็เห็นแล้วว่า มันคือจุดอ่อน โดยเฉพาะถ้าคุณจะต้องอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Engineering Product
ถ้ามันเป็นจุดอ่อน เราก็ต้องแก้ไขมัน โดยการเรียนรู้เพิ่มเติม และเจาะจงลงไปในสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบนั้นล่ะครับ (หลบหนีมันไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณต้องการที่จะก้าวหน้าในงานของคุณ)
และเพื่อให้คุณพร้อมมากขึ้นใน ความรู้เชิงเทคนิค (Technical knowledge) ผมได้จัดทำหลักสูตรครึ่งวัน สำหรับเตรียมความพร้อมให้ คนจัดซื้อ โดยเฉพาะคนที่จะต้องรับผิดชอบในการจัดซื้อ : วัตถุดิบ (Material) ปัจจัยการผลิต (factory supply) เครื่องจักร (Machine) อะไหล์เครื่องจักร (Spar part) เครื่องมือ (Tool)
ดูรายละเอียดหลักสูตรได้ที่ : การจัดซื้อเพื่อสนับสนุนการผลิต (Purchasing for Production)
https://seminardd.com/s/67739
และสอบถามได้ที่ 089 814 9612
Cr: Anant Vachiravuthichai (Tangram Strategic Consultant)
-------------------------------------------------------------------------------------------
ธุรกิจ
ความรู้รอบตัว
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย