17 มี.ค. เวลา 14:33 • ข่าวรอบโลก
เยรูซาเลม

เปิดแผนสะเทือนโลก! สหรัฐจับมืออิสราเอล โยนชาวปาเลสไตน์ไปทิ้งที่แอฟริกา⁉️🌍

มีรายงานสั่นสะเทือนจากฝั่งตะวันออกกลางว่า สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลได้เปิดฉากพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของ 3 พื้นที่ในแอฟริกาตะวันออก เพื่อหาทางออกอันน่าตกใจ นั่นคือ “การย้ายชาวปาเลสไตน์ในกาซ่า” ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในดินแดนเหล่านั้น! หลายคนที่เพิ่งได้ยินอาจจะอุทานว่า “จริงหรือ⁉️” เพราะนี่เท่ากับว่า มีแนวคิดจะผลักดันผู้คนกว่า 2 ล้านชีวิตให้หันหลังออกจากบ้านตัวเอง โดยที่อนาคตก็ยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาจะได้ความยุติธรรมหรือไม่
ในรายงานระบุว่า สหรัฐและอิสราเอลพุ่งเป้าไปยังพื้นที่อย่างซูดาน โซมาเลีย และโซมาลิแลนด์ (ภูมิภาคที่แยกตัวจากโซมาเลีย) เพื่อเจรจาเงื่อนไขการใช้ดินแดนเหล่านี้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับรองรับชาวปาเลสไตน์ที่ถูก “ถอนรากถอนโคน” ภายใต้แผนหลังสงคราม ซึ่งเป็นข้อเสนอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ โดยความเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงว่าอาจขัดต่อหลักกฎหมาย และขัดต่อจริยธรรมขั้นพื้นฐานในระดับสากล เพราะดินแดนทั้งสามเองก็มีปัญหาความยากจนและเหตุรุนแรงอยู่ไม่น้อย
ผู้หญิงและเด็กนั่งพักผ่อนอยู่ข้างภาพจิตรกรรมฝาผนังธงชาติของโซมาลีแลนด์ ในเมืองฮาร์เกซา โซมาลีแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนกึ่งปกครองตนเองที่แยกตัวจากโซมาเลีย เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2022 (ภาพ: AP/Brian Inganga, แฟ้มภาพ)
ใน “แผน” ดังกล่าวของทรัมป์ มีการวาดภาพไว้ว่า สหรัฐจะเข้ามาเป็นผู้จัดการดินแดนกาซ่าแบบเบ็ดเสร็จ เริ่มตั้งแต่ทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่ ไปจนถึงพลิกกาซ่าให้กลายเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์สุดอลังการ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ก็ต้องหาทางเคลื่อนย้ายประชากรดั้งเดิมออกไปก่อน ซึ่งชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ในกาซ่าได้ประกาศเสียงแข็งว่า “พวกเราจะไม่ยอมย้ายออกโดยสมัครใจเด็ดขาด”
ขณะที่อิสราเอลก็ยืนกรานว่านี่คือ “ทางออกที่กล้าหาญ” และให้เหตุผลว่า ชาวปาเลสไตน์จะได้ประโยชน์จากชีวิตใหม่ในดินแดนที่พร้อมพัฒนา (แต่หลายฝ่ายมองว่านี่ไม่ต่างอะไรจากการถูกบังคับให้จากบ้านเกิดเมืองนอน)
✋🏻 สำหรับซูดาน ซึ่งเคยเข้าร่วมข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accords) เมื่อปี 2020 เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิสราเอล ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่สหรัฐและอิสราเอลสนใจ เพราะสามารถใช้ “แรงจูงใจ” หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือทางการเงิน การสนับสนุนทางทหาร หรือการฟื้นเศรษฐกิจ หลังซูดานเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตสงครามกลางเมืองกับกองกำลัง RSF ชนิดสะบักสะบอม อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหน้าที่สองรายในรัฐบาลซูดานให้ข้อมูลตรงกันว่า “พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอนี้ทันที” และยังย้ำชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
แต่ที่น่าจับตาไม่แพ้กัน คือกรณีของโซมาลิแลนด์ พื้นที่ที่แยกตัวจากโซมาเลียและยังไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นประเทศอิสระในเวทีโลก ปัจจุบันโซมาลิแลนด์มีประชากรกว่า 3 ล้านคน ดำเนินการปกครองและเศรษฐกิจของตนเองมานานกว่า 30 ปี
ค่ายเต็นท์สำหรับชาวปาเลสไตน์ที่พลัดถิ่น ถูกจัดตั้งขึ้นท่ามกลางอาคารที่พังเสียหาย ทางตะวันตกของค่ายอัลชาตี ทางตะวันตกของเมืองกาซา เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2025 (ภาพ: AP/Jehad Alshrafi)
หากได้รับการยอมรับจากสหรัฐ ก็อาจทำให้สถานะของโซมาลิแลนด์แข็งแกร่งขึ้นทันตาเห็น ซึ่งมีข่าวลือว่า นี่อาจเป็น “ข้อแลกเปลี่ยน” ที่โซมาลิแลนด์ต้องการ แลกกับการเปิดประตูให้ชาวปาเลสไตน์บางส่วนเข้ามาตั้งถิ่นฐาน หากแผนนี้เดินหน้า แต่จนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่ในโซมาลิแลนด์ก็ยืนยันว่า “ยังไม่เคยได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการ” แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน โซมาเลีย (ที่ยังถือว่าโซมาลิแลนด์เป็นส่วนหนึ่งในเขตแดนของตน) เป็นประเทศที่ประกาศสนับสนุนปาเลสไตน์มาอย่างยาวนาน มีการจัดกิจกรรมเดินขบวนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์อยู่เนืองๆ และยังเข้าร่วมการประชุมอาหรับที่ต่างคัดค้านแผนโยกย้ายชาวปาเลสไตน์จากกาซ่าอย่างหนักหน่วง หลายฝ่ายจึงมองว่า การจะให้โซมาเลียเปลี่ยนจุดยืนหันมารับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์แบบถาวรเป็นหมื่นเป็นแสนคน ดูจะเป็นไปได้ยากมาก
⚡แล้วความคืบหน้าอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง⁉️ เมื่อถามไปยังทำเนียบขาว สหรัฐไม่ได้ให้คำตอบเป็นรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่สำนักนายกฯ อิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู และ รมต.รอน เดอร์เมอร์ ผู้ใกล้ชิดซึ่งคอยดูแลการวางแผนฟื้นฟูหลังสงคราม ทั้งสองฝ่าย “ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น” อาจเป็นได้ว่า ประเด็นนี้ยังอยู่ในช่วงวงเจรจาลับ หรือยังไม่พร้อมจะเปิดเผยในรายละเอียด เพราะต้องอาศัยการเมืองระหว่างประเทศขั้นสูง มีทั้งแรงกดดันด้านความมั่นคง และแรงกระตุ้นด้านผลประโยชน์มากมาย
1
ด้านรัฐมนตรีคลังเบซาเลล สมอตริช ของอิสราเอล ผู้เคยประกาศสนับสนุนแนวทาง “อพยพโดยสมัครใจ” ของชาวปาเลสไตน์มานาน ให้ข้อมูลว่า อิสราเอลเอง “กำลังมองหาประเทศปลายทาง” ที่จะรับผู้อพยพ และยังวางแผนตั้ง “หน่วยงานเพื่อการอพยพขนาดใหญ่” ภายในกระทรวงกลาโหม เพื่อรองรับบทบาทนี้ ซึ่งฟังดูเหมือนว่า รัฐบาลอิสราเอลเตรียมเดินหน้าต่ออย่างจริงจัง
นั่นจึงกลายเป็นคำถามสำคัญตามมา ว่า “ชาวปาเลสไตน์ในกาซ่ากว่า 2 ล้านคนจะยอมไปจริงๆ หรือ⁉️” หลายเสียงทั้งในกาซ่าและจากกลุ่มประเทศอาหรับ ชี้ว่า นี่คือการขับไล่แบบไม่เป็นธรรม ที่อาจถึงขั้น “อาชญากรรมสงคราม” เพราะเป็นการบังคับให้ประชากรต้องละทิ้งบ้านเกิด บางคนมีครอบครัวใหญ่ อาศัยอยู่ในกาซ่ามาหลายชั่วอายุคน จะให้ออกไปไหนได้ทันที พวกเขาบอกว่า “ไม่มีทาง” โดยทางอาหรับลีก (Arab League) ก็แสดงจุดยืนตรงกันว่า ควรปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์สร้างชีวิตใหม่ในพื้นที่บ้านเกิดเช่นเดิมมากกว่า
⏳อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสหรัฐยังยืนยันว่า “ทรัมป์จะไม่ถอยจากวิสัยทัศน์นี้” จึงน่าสนใจว่า หากชาวปาเลสไตน์และพันธมิตรอาหรับยืนกรานปฏิเสธ แผนย้ายถิ่นฐานมหาศาลนี้จะเดินหน้าได้อย่างไร หรืออาจต้องมี “ดีลลับ” มากมายกว่าจะเกิดขึ้นจริง ถึงตอนนี้ หลายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ ต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด ว่าการใช้วิธีชักชวนหรือบังคับให้ผู้คนอพยพ “เพราะเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์” อาจผิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปฏิบัติต่อพลเรือนในยามสงครามด้วย
ชาวปาเลสไตน์แขวนเครื่องประดับตกแต่งข้างบ้านเรือนที่พังเสียหายของพวกเขา เพื่อเตรียมต้อนรับเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เมืองคานยูนิส ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 (ภาพ: AP/Jehad Alshrafi)
ขณะที่ในภาพใหญ่ของตะวันออกกลางเอง สถานการณ์ยังตึงเครียดไม่หาย มีเสียงปืนและเสียงประท้วงแทบไม่เว้นวัน ตัวอย่างเช่น ในหลายพื้นที่ของกาซ่า ที่แม้จะเผชิญความเสียหายหนัก แต่ผู้คนก็ยังพยายามจะดำรงชีวิตให้เป็นปกติ เช่น ครอบครัวของฟาติมา อัลอับซี ที่ยังรวมตัวกันละศีลอด (อิฟตาร์) ในวันแรกของเดือนรอมฎอน แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะถูกระเบิดถล่มและเหลือซากกำแพงโหว่ก็ตาม ภาพแบบนี้สื่อให้เห็นว่า ต่อให้คนในกาซ่าจะเหนื่อยล้าแค่ไหน พวกเขาก็ยังฝ่าฟันเพื่อปกป้องครอบครัวและแผ่นดินเกิด
อีกมุมหนึ่ง กรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอ “ให้สหรัฐเข้ามาเป็นเจ้าของดินแดนกาซ่า” ฟังดูเหมือนสานต่อแนวคิดกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งในอิสราเอลที่เคยถูกมองว่าเป็น “แผนเพ้อฝัน” มาก่อน แต่ขณะนี้กลับได้รับการหนุนหลังอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเนทันยาฮู ที่ถึงขั้นยกย่องว่าเป็น “วิสัยทัศน์อันกล้าหาญ” และพร้อมเดินตามกระแสด้วยการแสวงหาพันธมิตรในแอฟริกา หรือไม่แน่ว่าอาจมีประเทศอื่นๆ ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
หลายคนที่ติดตามข่าวอาจสงสัยว่า “แล้วจะจบอย่างไร⁉️” เพราะปัญหาปาเลสไตน์-อิสราเอลเป็นประเด็นที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี จนกลายเป็นรากลึกแห่งความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ความพยายามแก้โจทย์ซับซ้อนขนาดนี้ไม่เคยง่าย ความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของสหรัฐและอิสราเอลก็อาจจุดกระแสให้เกิดเสียงต่อต้านในโลกอาหรับและโลกมุสลิมได้ตลอดเวลา
สิ่งที่น่าจับตามองคือ ข้อต่อรองต่างๆ ที่ทั้งสหรัฐและอิสราเอลอาจหยิบยื่นให้ประเทศแอฟริกา รวมถึงผลประโยชน์แอบแฝงอื่นๆ ที่อาจโผล่มาแบบคาดไม่ถึง เช่น การลดหนี้ อาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือสนับสนุนการค้าการลงทุนอย่างมหาศาล เพื่อแลกกับ “การยินยอม” ให้ผู้อพยพหลายแสนรายมาตั้งรกราก
มุมมองของนักกฎหมายระหว่างประเทศ และองค์กรพิทักษ์สิทธิมนุษยชน (เช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล หรือฮิวแมนไรท์วอทช์) ก็น่าสนใจ เพราะพวกเขากำลังตรวจสอบว่า ถ้าหากชาวปาเลสไตน์ถูกบีบไม่ว่าทางใดก็ตามให้ย้ายออกจากกาซ่า นี่อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงครามเช่นเดียวกับ “การอพยพหรือล้างบางทางชาติพันธุ์” หรือไม่
ประชาชนรวมตัวกันเพื่อตักน้ำในกรุงคาร์ทูม ประเทศซูดาน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2023 (ภาพ: AP/Marwan Ali, แฟ้มภาพ)
นาทีนี้ ไม่มีใครตอบได้ว่า เป้าหมายของสหรัฐและอิสราเอลจะลุล่วงแค่ไหน หรือประเทศปลายทางจะตอบสนองอย่างไร เพราะแต่ละแห่งก็ล้วนมีปัจจัยความขัดแย้งภายใน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง หรือแม้แต่สถานะทางการทูตระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ยังไม่มีกำหนดเวลาตายตัวว่า ดีลนี้จะบรรลุหรือสรุปเมื่อไร
แต่ที่แน่ๆ คือ เรื่องนี้เขย่าอารมณ์และส่งผลต่อชีวิตผู้คนนับล้าน อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองภูมิภาค และสร้างผลกระทบระลอกใหญ่ให้แก่ทั้งโลก! จึงไม่ใช่แค่ประเด็นของคนตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเมืองมหาอำนาจ และวิธีที่ “ใครสักคน” อาจใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจและการทูต มาสลับสับเปลี่ยนชะตากรรมของผู้คนนับล้านได้อย่างน่าตกใจ
✨เรื่องนี้ยังต้องตามกันยาวๆ เพราะสหรัฐยืนยันหนักแน่นว่า “จะเดินหน้าต่อ” ส่วนอิสราเอลก็ดูจะกดคันเร่งไม่ผ่อน แต่แอฟริกาที่ถูกวางให้เป็นบ้านหลังใหม่อาจกำลังชั่งน้ำหนัก ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศอาหรับและประชาคมโลกก็จ้องไม่กะพริบว่า “จะปล่อยให้มีการบังคับย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ที่อาจผิดกฎหมายระหว่างประเทศได้จริงหรือ” คงต้องดูกันว่า เรื่องใหญ่ระดับประวัติศาสตร์แบบนี้จะลงเอยอย่างไรในอนาคตอันใกล้… หรือไกล… ใครจะรู้⁉️
โฆษณา