Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
CREATIVE TALK
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
18 มี.ค. เวลา 01:04 • อาหาร
Food Waste ไม่ใช่แค่ “ทิ้ง” แล้วจบ แต่คือเรื่องที่ต้อง “คิด” ว่าจะเปลี่ยนมันยังไง
กินให้หมด จบที่จาน โดยไม่จบที่หลุมฝังกลบ! เผยแนวคิดสู่ความยั่งยืนโดย PEAR is hungry
🍽 “ใน 1 วัน ของแต่ละคน เรากินวันละกินมื้อ 🤔”
🤔 ลองนั่งนึกสนุก ๆ ดูสิว่า ‘มื้อเช้าวันนี้เรากินอะไร’ ?
🤔 มื้อกลางวัน หรือตกบ่าย เราอยากกิน หรือกำลังกินอะไร ?
🤔 มื้อเย็น หรือ มื้อค่ำ เรากินอะไร ?
มนุษย์เรามักอยู่กับเรื่องกินขั้นต่ำ 3 ครั้งต่อวัน เพราะนี่คือเรื่องใกล้ตัวที่สุดของมนุษย์ทุกคนบนโลก และที่สำคัญเป็นเรื่องที่ คุณแพร-พิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ หรือ PEAR is hungry เธออยู่กับสิ่งนี้มานาน และเธอคิดต่าง โดยเห็นถึง ‘การกิน สามารถสร้างผลกระทบที่ดีให้กับโลกใบนี้ได้’ ซึ่งเธอทำมันอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ จนเกิดมาเป็นรายการที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกัน
หลายคนอาจจะคุ้นเคยจากคลิปของคุณแพรผ่าน Social Media ต่าง ๆ อย่างโปรเจกต์กินหมดจาน และ โปรเจกต์ Restaurant Makeover ซึ่งเป็นหนึ่งในความตั้งใจที่คุณแพรอยากสื่อสารให้ทุกคนได้ตระหนักถึงเรื่องของ ‘Food Waste’ หนึ่งในคีย์สำคัญของการลดและการจัดการขยะอาหาร และตระหนักถึงคุณค่าการกินอาหาร เพราะมนุษย์เราต้องกินทุกวัน นี่คือเรื่องใกล้ตัวที่สุดที่อยากให้ทุกคนมาใส่ใจในการช่วยโลก ช่วยเห็นคุณค่าต้นทุนของวัตถุดิบ และต่อยอดไปสู่การช่วย กทม. ในการคัดแยกขยะให้ถูกวิธี
🍽 ชาเลนจ์ ‘กินหมดจาน’ คืออะไร ?
ก้าวสู่ Season ที่ 2 แล้วกับชาเลนจ์กินหมดจาน โดย Season 1 ได้ทำร่วมกับ ‘Konggreengreen’ และ TikTok for Good’ เป็นโปรเจกต์โดย aRoundP ซึ่งคอนเซปต์ก็แสนง่ายตรงตามชื่อ คือชวนทุกคน ‘มากินอาหารให้หมดจาน’ เป็นหนึ่งในวิธีลดเรื่องของ Food Waste ให้ผู้คนได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของอาหารที่กิน ลดขยะอาหารเท่าที่จะเป็นไปได้มากที่สุด รวมไปถึงเมื่อทำชาเลนจ์ได้สำเร็จก็มีโปรโมชันดี ๆ มอบให้กลับไป
โดยในครั้งนั้นเมื่อจบปี กวาดยอดวิวไปได้มากถึง 97 ล้านวิว เพื่อสร้างการรับรู้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนให้เห็นถึงคุณค่าในอาหาร แค่คุณกินหมด คุณก็ช่วยโลกได้อย่างมหาศาล
แม้ Feedback SS.1 จะดีมาก แต่มันยังไม่เพียงพอต่อเป้าหมายของเรา!
คุณแพรย้ำเรื่องของ Feedback ที่เกิดขึ้น แม้เราจะได้ Awareness ก็จริง แต่เรากลับไม่เห็น Action ที่เกิดขึ้น หรือ Impact มันเกิดขึ้นหรือเปล่า แม้ SS.1 เราจะตั้งความคาดหวังไว้ชัดเจนว่า “อยากให้ทุกคนรู้จักคำว่า Food Waste” ให้คนได้รู้จักคำนี้จริง ๆ เพื่อให้เขาทำจริง และตระหนักถึงสิ่งนี้
พอเป้าหมายเราทำได้ จึงเกิดการตั้งคำถามกับทีม ถึงความเป็นไปได้ของสิ่งนี้ ในเมื่อ Awareness มันได้ เป้าหมายหลักจริง ๆ คือเรื่องของ Action มากกว่า ซึ่งยังไม่ได้ตอบโจทย์ได้ทั้งหมดของ SS.1 จึงทำให้การต่อยอดไปสู่ SS.2 เรามองสิ่งที่เรียกว่า Action มากขึ้น
🍽 ‘ผลักดันชาเลนจ์ ‘กินหมดจาน’ สู่โปรเจกต์ ‘Restaurant Makeover’
อย่างที่เรารู้กันว่า แคมเปญ ‘กินหมดจาน’ คือการชวนคนมาลด Food Waste ดังนั้นภาพที่เกิดขึ้น คือการสื่อสารถึงผู้บริโภคเป็นส่วนใหญ่ แต่เอาเข้าจริงการตระหนักให้ทำเรื่องของ Food Waste มันไม่ใช่แค่หน้าที่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่อยู่ในบริบทโดยรอบ
เราจึงทำโปรเจกต์อีกตัวที่ทำมาคู่กัน ที่ชื่อว่า ‘Restaurant Makeover’ คือการชวนร้านอาหารมาจัดการแยกขยะอาหารแบบเบื้องต้นแล้วส่งต่อให้ กทม. การคิดสองโปรเจกต์ควบคู่กันนี้ถูกสร้างขึ้น โดยเป็นการคิดเพื่อให้เชื่อมโยงกัน แล้วให้ทุกคนที่อยู่ในบริบทนี้มาทดลองทำหน้าที่ของตัวเอง ใช้ระยะเวลา 1 เดือนทำร่วมกัน แล้วเราจะทำผลลัพธ์ขยะอาหารอย่างไรได้บ้าง
ซึ่งการวางเป้าหมายในครั้งนี้ ชัดเจนขึ้น เพื่อนำไปสู่ Action
💚 ร้านอาหาร: ร้านมีการสร้างระบบการจัดการส่งต่อให้กับ กทม.
💚 ผู้บริโภค+KOL: ตระหนักรู้ จะเข้ามาช่วยลด Food Waste เพื่อให้เกิด Action
💚 และสุดท้ายผลลัพธ์ของขยะอาหารที่จะเกิดขึ้นใน สถานที่ฝังกลบขยะมูลฝอย (Land Fill) จะมีน้อยลง
โดย Restaurant Makeover คือการชวนเพื่อน KOL 50 คน มาเลือกร้านอาหารมา 50 ร้าน เมื่อเลือกเสร็จ 50 ร้านนี้จะถูกเข้าไปอยู่ใน Restaurant Makeover เพื่อสร้างกระบวนการจัดการขยะอาหาร ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จแล้วในรายละเอียดการทำงาน จะต้องมีการคัดแยก, เก็บ Data และหลังจากนั้นจะส่งขยะอาหารเหล่านี้ให้กับ กทม. และท้ายสุดจะมาดูผลลัพธ์ที่ทำร่วมกันเป็นอย่างไรบ้าง
🍽 จะทำการใหญ่ การให้คุณค่ากับรายละเอียดสำคัญ!
การทำงานหลังบ้านมีการเชิญชวนภาคีอื่น ๆ เข้ามาด้วย โดยการทำงานร่วมกับร้านอาหาร เราตั้งใจว่าอยากทำให้ออกมาเป็น ‘คู่มือ’ ของการคัดแยกขยะอาหารเบื้องต้น โดยการทำงานร่วมกับ public sector ไม่ว่าจะเป็น คพ (กองควบคุมมลพิษ), อย (สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา), สำนักสิ่งแวดล้อม, กทม. และครั้งนี้ก็ได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง Recycle Day ที่จะเข้ามาช่วยคัดแยกและเก็บ Data
และท้ายสุด Restaurant Makeover ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. เพื่อจะทำให้การวางระบบเกิดขึ้นได้จริง พอเราเอาทุกคนมาวางไว้บนหน้ากระดาน เราจะได้สร้างการจัดการนี้ไปพร้อมกัน
คีย์สำคัญของความนานครั้งนี้คือการคิดกระบวนการทั้งหมด ดังนั้นการทำงานของทีมเป้าหมายต้องชัดเจน นั่นคือ Action เก็บ Data ระบบจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราไม่สามารถเอาตัวตนเราไปวางตรงกลางได้ หรือชี้สั่งได้ แต่การทำงานร่วมกัน หมายความว่าเราต้องให้เกียรติทุกภาคี และนำตัวตนของเราไปวางในแต่ละจุดของแต่ละปาร์ตี้ โดยมองเลนส์ของเขาเป็นหลัก เช่น ถ้าเราเป็นร้านอาหาร อุปสรรคเขาคืออะไร ความต้องการเขาคืออะไร แล้วอะไรคือแรงผลักดันในการทำสิ่งนี้ของร้านอาหารไปพร้อม ๆ กัน
ตัวอย่างของการรวมตัวกันในครั้งนี้ ลองคิดภาพตามว่า ‘เมื่อ กทม. รับขยะไปแล้ว มันจะไปอยู่ที่ไหน ?’ คุณแพรเล่าให้ฟังว่า มันมีอยู่ 4-5 วิธี เช่น ตั้งแต่การทำน้ำ RO หรือ Reverse Osmosis ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการทำให้ได้น้ำที่บริสุทธิ์, ทำปุ๋ย, เลี้ยงสัตว์, เลี้ยงแมลงวันลาย หรือ หนอนแมลงวันลาย (Black Soldier Fly) หรือแมลงโปรตีน
ซึ่งโดยปกติเขตมีทั้งหมด 50 เขต แต่ร้านในเขตต่าง ๆ ก็จะมีการรับขยะอาหารไปใช้ต่อที่แตกต่างกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย Point มันคือสมมุติว่าในเขตนึง มีร้านอยู่ 10 ร้าน ร้าน A ขยะอาหารที่จะถูกรับต่ออาจจะเอาไปให้ไก่ แต่ร้าน B เอาไปให้ปุ๋ย ดังนั้นในแต่ละร้านที่ทิ้งลงไปในถุงจะไม่เหมือนกัน มันมีรายละเอียดเชิงลึกอยู่ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในวิธีที่หลากหลายภาคีที่รวมกันมากขนาดนี้ เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ในการนำไปใช้จริง
ดังนั้นหลังบ้านเราก็ต้องสวมหมวกเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราต้องรู้จริงก่อนจะไปคุยกับผู้ประกอบการ หน้างานเราก็ต้องสวมบทเป็นผู้ประกอบการ เราต้องเข้าใจร้านเข้าใจผู้ประกอบการ เพราะร้านอาหารไม่ได้ไม่อยากจะทำ แต่เขามีองค์ประกอบอย่าง ต้นทุน, ค่าใช้จ่าย, Operation ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้นเราต้องไปซัพพอร์ตร้านจริง ๆ ว่าการทำสิ่งนี้จะช่วยเขาลดต้นทุนร้านอย่างไร และช่วยจัดการให้ร้านเขาดีขึ้นอย่างไร ไม่ใช่เข้าไปเพิ่มภาระ แต่ต้องเข้าไปเพิ่มศักยภาพ และเกิดการทำซ้ำได้จริงอย่างต่อเนื่อง ด้วยชุด Mindset ที่ตั้งใจจริง และรู้จริง!
🍽 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากโปรเจกต์ ‘Restaurant Makeover’ เมื่อทำจริงแล้ว!
สิ่งที่คุณแพรวางผลลัพธ์ หรือ KPI ของโปรเจกต์นี้ไว้ คือ 2 ส่วนหลัก ๆ
💚 เป้าหมายที่ 1: ตัวเลข หรือผลลัพธ์ในการลด Food Waste
💚 เป้าหมายที่ 2: เรื่องของ Repetition หรือการทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอตลอด
โดยเริ่มจาก 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา สามารถลดขยะอาหารไม่ให้กลับไปที่ Land Fill ได้สูงถึง 18,143.83 กิโล และเป็นค่า Carbon Footprint 9,710 กิโลคาร์บอน ถือเป็นก้าวสำคัญและเป็นตัวเลขที่เยอะเกินคาด เพราะถ้าหากนับดี ๆ นี่คือการเก็บตัวเลข 50 ร้านเท่านั้น
เราลดไปได้มากขนาดไหน ถ้าหากลองเปรียบเทียบให้เห็นขยะ กทม. ต่อวัน มีขยะสูงถึง 8.7 ล้านกิโลต่อวัน ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นขยะอาหารก็เฉลี่ยแล้วราว ๆ 4 ล้านกิโลต่อวัน ซึ่งปริมาณมันเยอะมหาศาลมาก ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด แต่ถ้าเราไม่เริ่ม ตัวเลขหลักหมื่นที่ช่วยลดปริมาณขยะก็จะไม่มีวันเกิดเช่นกัน
ส่วนเรื่องของ Repetition ก็มีการคาดหวังโดยเฉพาะเรื่องของร้านอาหาร ว่าเขาจะทำต่อหรือไม่ ซึ่งมี Feedback ที่เกินคาดของร้านอาหารในหลาย ๆ ร้านที่อยากจะทำต่อ และอยากทำมากกว่าที่วางโครงการไว้ ตัวอย่างเช่น ร้าน Mana.Chujai ที่ก่อนหน้าปฏิเสธไม่มา แต่สุดท้ายเมื่อเขาทำ ในวันนี้เขาสามารถแยกขยะทั้งร้าน พร้อมกับเอาขยะต่าง ๆ ไปทำรีไซเคิล หรือนำกากกาแฟไปส่งต่อให้กับลูกค้าในร้าน สร้าง Community กลายเป็นว่า เขาได้ทำมากกว่าที่โปรเจกต์คาดหวังด้วยซ้ำ! นี่แหละคือ Repetition อย่างแท้จริง!
อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Repetition ของลูกค้าหรือผู้บริโภค ก็มีความคาดหวังว่าประเด็นนี้จะเข้าไป Trigger ให้เขาได้เริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง เช่น อาจจะพกกล่องอาหารไปด้วย กินไม่หมดก็เก็บใส่กล่องเพื่อกินในมื้อถัดไป หรือ สั่งอาหารแต่พอดีไม่กินเหลือ เป็นต้น
การเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เขากลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง นี่คือเป้าหมายสำคัญของคุณแพรและทีม ในวันนี้มันอาจจะ Repetition ไม่ได้ทันทีกับทุกคน แต่อย่างน้อย ๆ ก็มีหลายคนเริ่มเข้าใจ และตระหนักถึงเรื่องขยะอาหารมากขึ้น และพร้อมจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้ทำได้อย่างสม่ำเสมอ
สุดท้ายนี้เรื่องของสิ่งแวดล้อม มันคือ Mindset ของคน
🧠 บางคน อาจจะมองว่าเรื่องนี้ไกลตัว ฉันไม่ทำก็ไม่เสียหาย
🧠 บางร้านค้า ชอบคิดว่าสิ่งนี้มันคืออุปสรรค มันคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
🧠 บางร้านค้า มองว่าสิ่งนี้มันจะเพิ่มรายจ่าย และมีแต่ความยุ่งยากเพิ่มขึ้น
แต่ในวันนี้หากคุณเปลี่ยน Mindset จากคำว่า “ทำไม่ได้, ไม่เกี่ยวกับฉัน” เป็นคำว่า “กล้าที่จะทำ, กล้าที่จะเปลี่ยนเพื่อโลก เพื่อตัวเราเอง” มันจะส่งผลลัพธ์มหาศาลอย่างแน่นอน เช่น
♻️ ถ้าร้านอาหารมีระบบคัดแยกขยะชัดเจน ต้นทุนแรกที่จะช่วยเราได้คือ ไม่โดนจ่ายค่าแยกขยะของ กทม. ซึ่งกฎหมายอนุมัติแล้ว การไม่แยกขยะ จะเท่ากับการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับร้านอาหารของคุณ
♻️ ต้นทุนเรื่องของถุงขยะจะลดลง เพราะบางร้านทิ้งขยะมากถึง 7-8 ถุง แต่กลับกันร้านที่ใส่ใจในการคัดแยกขยะ สามารถแยกขยะเศษอาหารมาทิ้งไว้ด้วยกัน ช่วยลดจำนวนได้ 4 ถุง ซึ่งเกือบครึ่งเลยทีเดียว รวมถึงรอบในการทิ้งขยะก็ลดลง ช่วยเรื่องต้นทุนเวลาได้อีก
♻️ ในมุมของคนทั่วไปก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายเราได้มากขึ้น สั่งแต่พอดีกิน หรือใครที่ชอบกินหลายอย่าง แต่กินเหลือก็ยังสามารถเก็บอาหารเหล่านั้นใส่กล่อง เพื่อนำกลับไปกินต่อที่บ้านได้ ซึ่งช่วยเซฟค่าใช้จ่าย และเซฟร้านอาหาร และเซฟโลกไปพร้อม ๆ กัน
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือ ‘Mindset’
อย่ากลัวที่จะเริ่มทำ และอย่ามีเงื่อนไขในการทำ
ลองกลับมาตั้งคำถามว่าเราจะเริ่มตอนไหน
วันนี้เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ก็ได้
อย่างการ ‘กินข้าวให้หมดจาน’
เพราะ Food Waste เป็นเรื่องของทุกคน
เพราะพวกเราต้องกินทุกวัน!
หากใครสนใจเรื่องราวของ ‘กินหมดจาน’ และ ‘Restaurant Makeover’
สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที
เรียนรู้เพิ่มเติม
aroundp.co
AroundP - Food and Sustainability Lifestyle
แคร์อิเลียดเปราะบางซันตาคลอส แชมปิยองรีโมตต่อยอด ออเดอร์สจ๊วตแดรี่แซวแชมปิยอง เซาท์ไฮบริด เท็กซ์ไฟต์ ซีเรียสเคลมเครปเยอร์บีราเนอะ
💬 สัมภาษณ์: ชญานิศ จำปีรัตน์
✍🏻 เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
🎨 ภาพประกอบ: อลิสา อรุณสิริเลิศ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย