18 มี.ค. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

บลูมเบิร์กชี้ “กองทุนวายุภักษ์” ล้มเหลว? ช่วยฟื้นตลาดหุ้นไทยไม่สำเร็จ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กประเมิน “กองทุนวายุภักษ์” ฟื้นตลาดหุ้นไทยไม่สำเร็จ เงินทุนต่างชาติยังไหลออก ชี้ดัชนีหุ้นไทยมีผลงานแย่สุดในโลก
เมื่อปี 2567 กระทรวงการคลังได้ผุดแผนฟื้นการลงทุน หลังแนวโน้มตลาดหุ้นไทยตกต่ำลง กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก ด้วยการประกาศระดมทุน “กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง” (VAYU1) และเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ให้แก่นักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนรายย่อยอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า โครงการกองทุนวายุภักษ์ที่มีเป้าหมายสุดทะเยอทะยานในการฟื้นฟูตลาดหุ้นไทยนั้น ดูเหมือนว่า “กำลังล้มเหลว” เนื่องจากกองทุนต่างชาติยังคงไหลออก
กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง
บลูมเบิร์กระบุว่า ตลอดเวลาเกือบ 7 เดือนหลังจากมีการอัดฉีดเงิน 1.5 แสนล้านบาทเข้ากองทุนวายุภักษ์ นักวิเคราะห์ต่างงุนงงเมื่อพบว่า เงินดังกล่าวช่วยดัชนีอ้างอิง SET ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และดัชนีหุ้นร่วงลงมากกว่า 16% ในปีนี้ ทำให้ดัชนีหุ้นดังกล่าวเป็นดัชนีที่มีผลงานแย่ที่สุดในโลกจาก 92 ดัชนีที่บลูมเบิร์กติดตาม
นอกจากนี้ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติยังถอนเงินออกไปกว่า 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งมากที่สุดในบรรดาตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บลูมเบิร์กประเมินว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่ำคือ ความไม่มั่นใจว่าผู้กำหนดนโยบายของไทยจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้นอกเหนือจากภาคการท่องเที่ยว รวมถึงความกังวลที่หยั่งรากลึกเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่สูง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และเรื่องอื้อฉาวขององค์กรต่าง ๆ สงครามภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงกดดันมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้บรรดานักลงทุนต้องย้ายออกจากตลาดเกิดใหม่
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “คนส่วนใหญ่ตระหนักดีว่า หุ้นของเรามีการซื้อขายในราคาที่ถูกมาก แต่เป็นเรื่องยากมากที่จะโน้มน้าวให้พวกเขาลงทุนในหุ้นในตอนนี้ เนื่องจากมีทัศนคติที่ไม่ดีและแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอ”
เขาเสริมว่า “รัฐบาลได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะช่วยเหลือตลาดหุ้น แต่ควรมีขั้นตอนเร่งด่วนมากกว่านี้เพื่อสนับสนุนตลาด”
แผนช่วยเหลือที่กำลังล้มเหลวเป็นสัญญาณเตือนไปยังผู้กำหนดนโยบายและนักลงทุนเกี่ยวกับความสามารถของกองทุนการลงทุนของรัฐในการกระตุ้นตลาด สิ่งที่รัฐบาลไทยดำเนินการต่อไปจะกำหนดสถานะของรัฐบาลไทยเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ
ทั้งนี้ เมื่อทางการไทยประกาศระดมทุนกองทุนวายุภักษ์เมื่อเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ต่างพากันชื่นชมข่าวนี้ โดย “โกลด์แมน แซคส์” ยกระดับหุ้นไทยขึ้น จากความคาดหวังว่าจะช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศได้ ความไม่มั่นคงทางการเมืองและผลกำไรของบริษัทที่ย่ำแย่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปั่นป่วนตลอดทั้งปี 2567 และเจ้าหน้าที่ต่างฝากความหวังไว้กับการฟื้นฟูตลาดหุ้นของกองทุนนี้
แต่ตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นชั่วขณะหนึ่งก่อนที่ความท้าทายจะเกิดขึ้น ข้อมูลของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง การเติบโตทางเศรษฐกิจยังต่ำกว่าการคาดการณ์ส่วนใหญ่ โดยปี 2567 ไทยมีอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ภาคการบริโภคและการผลิตยังแสดงสัญญาณการชะลอตัว
ในเดือน พ.ย. โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับระดับหุ้นไทยลง โดยอ้างถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และการประเมินมูลค่าที่สูง “ด้วยแรงหนุนตลาดหุ้นจากกองทุนวายุภักษ์ที่ลดลง ปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวยของไทยก็กลับมาปรากฏชัดอีกครั้ง”
นักวิเคราะห์ของ Macquarie ประมาณการว่า กองทุนวายุภักษ์มูลค่า 1.5 แสนล้านบาทอย่างน้อย 50% ถึง 60% ได้ถูกนำไปใช้แล้ว
นักลงทุนกล่าวว่า ความหวังในการพลิกฟื้นอยู่ที่รัฐบาลใหม่ของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่จะใช้มาตรการที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อธุรกิจมากขึ้นและการปฏิรูปกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
เมื่อต้นเดือน มี.ค. 2568 ประเทศไทยได้ประกาศแผนแจกเงินเพื่อกระตุ้นการเติบโต พยายามสนับสนุนการท่องเที่ยวและการส่งออก นอกจากนี้ยังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเสนอให้กาสิโนถูกกฎหมาย รวมถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประเทศไทยได้ประกาศแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในตลาด
อย่างไรก็ตาม ชวินดา หาญรัตนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้บริหารร่วมของกองทุนวายุภักษ์ กล่าวว่า “ความรู้สึกยังอ่อนแอมากจนมาตรการเหล่านั้นไม่สามารถต้านทานสถานการณ์โลกได้ เราแค่หวังว่าความพยายามอย่างจริงจังของรัฐบาลในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจจะประสบความสำเร็จ นั่นจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดสำหรับหุ้นไทย”
ประเทศไทยไม่ใช่ตลาดเกิดใหม่แห่งเดียวในเอเชียที่ได้รับผลกระทบ หุ้นและสกุลเงินในอินโดนีเซียและอินเดียก็ถูกเทขายอย่างหนักเช่นกันเนื่องจากดอลลาร์แข็งค่า อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยที่ร่วงลงในปี 2568 นั้นมีมูลค่าอย่างน้อยเป็น 2 เท่าของตลาดหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากนักวิเคราะห์ชี้ว่านักลงทุนจำนวนมากกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจ
คอชัล ลาดา หัวหน้าฝ่ายวิจัยประเทศไทยของ Macquarie Capital กล่าวว่า “เรายังคงเห็นการไหลออกของเงินต่างประเทศ เนื่องจากไม่มีปัจจัยกระตุ้นที่ชัดเจนว่าไทยจะเอาชนะความท้าทายเชิงโครงสร้างได้หรือไม่”
เรียบเรียงจาก Bloomberg
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/stock-investment/244962
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา