22 มี.ค. เวลา 02:00 • ธุรกิจ

ตลาดชาไทยปี 2568 โต 3 เท่า ยอดซื้อสินค้าพุ่งพรวด 81%

ชาไทยถูกจัดให้เป็นอันดับ 5 ของเครื่องดื่มที่คนนิยมทั่วโลก ในส่วนของคนไทยเองก็รู้จัก “ชาไทย” มายาวนานถึงขนาดที่บางคนยกให้ชาไทยเป็นเมนูประจำตัวกันด้วย และถ้าให้พูดถึงจุดเด่นที่ชัดเจนก็ต้องบอกว่า “สีส้ม” ของชาไทย คือเอกลักษณ์ที่ชัดเจน และมีผลทางจิตวิทยาด้วยเช่นกัน
ตามหลักจิตวิทยาของสีกับอาหารแล้ว สีที่กระตุ้นความอยากอาหารได้ดีคือสีโทนร้อน จะสังเกตได้ว่า ร้านอาหารกลุ่ม Fast Food จะเน้นใช้สีกลุ่มแดง เหลือง ส้ม เพื่อกระตุ้นให้คนอยากกิน และสีของชาไทยซึ่งเป็นการแต่งสีให้ส้มขึ้นกว่าปกติ เทียบกับรูปลักษณ์ต้นฉบับ อย่างชาซีลอน หรือชาชนิดอื่นๆ จึงดูน่าสนใจมากกว่าเวลาเดินผ่านหน้าร้านทีไรก็อยากจะเข้าไปซื้อทุกที
ถ้าไปดูในตลาดชาไทยพบว่าตอนนี้ก็มีหลายแบรนด์ที่นำเมนูนี้มาเป็นจุดขายและดูเหมือนว่าจะรายได้ดีมากด้วยเช่น
🍵 ชาตรามือที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2557 มีรายได้รวมกว่า 2,637 ล้านบาท
🍵 ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน ก่อตั้งปี 2566 มีรายได้รวม 14 ล้านบาท
🍵 การัน ก่อตั้งในปี 2562 รายได้รวม 101 ล้านบาท
🍵 ยอดชา ก่อตั้งในปี 2566 รายได้รวม 11 ล้านบาท
🍵 ชาพะยอม ก่อตั้งปี 2566 รายได้รวม 34 ล้านบาท
และก็ไม่ใช่เท่านี้ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่เป็นร้านชาไทยมาแรงในปี 2568 อย่าง ชาไทย Fighting ที่ชอบออกเมนูใหม่ ๆ ให้ทันต่อกระแสและความชอบของคนไทย อาทิ ชาไทย Fresh (ชาไทยไม่ใส่นม) หรือ ชาไทยไร้น้ำหนัก(Thai Tea Light Flyweight) ชาไทยพลังงานน้อย ไม่มีไขมันทรานส์ เป็นต้น
หรือแบรนด์อย่าง Tawang ที่นำเสนอการเบลนด์สูตรพิเศษคัดสรรใบชาเกรดพรีเมี่ยม ก็ถือเป็นอีกแบรนด์ที่น่าสนใจเช่นกัน
เหนือสิ่งอื่นใดความฮิตของชาไทยดูจะมาแรงเป็นพิเศษข้อมูลน่าสนใจระบุอีกว่า มีร้านเปิดใหม่เพิ่ม 205% พร้อมยอดสั่งซื้อโตอีก 81% ทะลุ 4 แสนแก้วในปี 2024 ที่ผ่านมา
ถ้าดูเฉพาะอัตราการเติบโตในช่วง 2022-2024 อยู่ที่ราวๆ 3.3 เท่า มากกว่ากาแฟ Specialty ที่เติบโตแค่ 2.7 เท่าอีกด้วย โดย กรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางของเทรนด์ชาไทย มีจำนวนร้านมากที่สุด คิดเป็น 46% ของทั้งประเทศ ตามมาด้วยนนทบุรี และชลบุรี
แต่ถึงแม้ยอดขายจะดูดีเป็นสินค้าที่ยอดฮิตแค่ไหน ก็ใช่ว่าธุรกิจร้านชานมใครเปิดจะรวยทุกคน เราต้องไม่ลืมว่านี่คือยุคที่คุ่แข่งมีเยอะ เทรนด์ผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แถมยังต้องสู้กับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่นต้นทุนวัตถุดิบและค่าครองชีพที่สูง รายได้ของคนส่วนใหญ่ที่ลดลง การจะสร้างแบรนด์ชาไทยให้ขายดีจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ร่วมด้วยเช่น
✅การวิเคราะห์ลูกค้าว่าต้องการสินค้าแบบไหน อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการและการสร้างจุดเด่นให้แบรนด์ก็สำคัญ
✅เรียนรู้แบบเจาะลึกในกรรมวิธีการผลิต โดยเฉพาะการคัดสรรใบชาและการนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม
✅ใส่ความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจ เริ่มตั้งแต่การสร้างคอนเซปต์ให้แบรนด์ หรือการพัฒนาเมนูที่แตกต่างจากรายอื่น
✅ไอเดียด้านการตลาด ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นการออกแบบแพคเกจจิ้งที่น่ารักๆ หรือออกแบบร้านที่สวยงามดึงดูดลูกค้าได้
✅ การตลาดออนไลน์ยุคนี้มีผลอย่างมาก ยิ่งทำให้คนอยากแชร์รูปร้าน หรือเมนูได้มากเท่าไหร่ หรืออาจมีคอนเทนต์ที่สร้างกระแสให้ร้านก็จะยิ่งทำให้เป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันการลงทุนเปิดร้านชาไทย ถ้าเราไม่ถนัดหรือไม่มีประสบการณ์จริงๆ อาจเลือกลงทุนในระบบแฟรนไชส์ที่มีจุดเด่นคือเราไม่ต้องสร้างแบรนด์เอง
ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ มีอุปกรณ์+วัตถุดิบ การสอนสูตร สอนเทคนิคการขาย การฝึกอบรมให้ก่อนเปิดร้าน และมีทีมงานให้คำปรึกษา ก็มีหลายแฟรนไชส์ที่น่าสนใจเช่น คอลล่า ที , เดรี่ชา , อรุ- ชา , อาคิตะชานมไข่มุก , จง ชง ดี , ฟินิกซ์ชา , มาโนอิ , มาจิเมะ เป็นต้น
ทุกแบรนด์เหล่านี้นอกจากมีเมนูชาไทยก็ยังมีเมนูเครื่องดื่มอื่นให้เลือก ซึ่งในมุมของคนสนใจลงทุนก็ควรศึกษารายละเอียดในแต่ละแฟรนไชส์ รวมถึงศึกษาในเรื่องสินค้าและบริการของแต่ละแบรนด์
รวมถึงเงื่อนไขในด้านการลงทุนต่างๆ เพื่อให้การตัดสินใจสร้างธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างสูงสุด
#ตลาดชาไทย #ชาไทย #เมนูชาไทย #ชานม #ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์
โฆษณา