ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาได้หยุดให้เงินสนับสนุนแก่สื่ออเมริกันที่มีเครือข่ายทั่วโลกอย่าง Radio Liberty และอีกสื่อหนึ่งคือ Voice of America (VOA) อย่างกะทันหัน (ทรัมป์บอกว่าไม่มีใครอ่านหรือฟังสื่อเก่าแก่เหล่านี้แล้วในปัจจุบัน) ภายใต้โครงการหั่นงบใช้จ่ายครั้งใหญ่ซึ่งนำโดย อีลอน มัสก์ [1][2]
สื่อ Radio Liberty ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นโครงการสื่อชวนเชื่ออเมริกันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทั่วโลกและจัดเป็น “ซอฟต์เพาเวอร์” ของอเมริกา และมีบทบาทสำคัญในการที่สหรัฐฯ ได้รับชัยชนะใน “สงครามเย็น” มาลองย้อนดูประวัติศาสตร์ของสื่ออเมริกันนี้ดูกัน
■
Radio Liberty ถือกำเนิดขึ้นในฐานะโครงการของซีไอเอ เพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ทั่วโลก
ซีไอเอจึงตัดสินใจทำสถานีวิทยุรูปแบบเดียวกันในยุโรปตะวันออก จึงเป็นที่มาของ Radio Free Europe ในปี 1950 ซึ่งเริ่มออกอากาศในภาษาหลักทั้งหมดของกลุ่มตะวันออก ได้แก่ ภาษาเช็ก สโลวัก โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ และบัลแกเรีย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในมิวนิก ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของฝ่ายตะวันตกที่อยู่ทางตะวันออกสุดของยุโรป เป็นศูนย์กลางสำคัญของการรับผู้อพยพจากยุโรปตะวันออก
เครดิตภาพ: RFE/RL
Radio Free Europe พยายามสื่อสารออกมาโดยไม่ให้ถึงกับเป็นโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายโลกเสรีจนเกินไป หลักการนี้ไม่ได้ทำให้คลื่นวิทยุเต็มไปด้วยการประณามลัทธิคอมมิวนิสต์โดยตรง พนักงานที่นั่นส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถพูดคุยกับผู้ฟังได้ราวกับว่าเป็นประเทศของตนเอง [4]
บุคคลสำคัญในการก่อตั้ง Radio Free Europe คือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองชาวอเมริกันผู้มากประสบการณ์ Allen Dulles ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เขาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาหลายตำแหน่งและทำหน้าที่ประสานงานระหว่างซีไอเอกับกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองของอเมริกา
งานของ Radio Free Europe ถือว่าประสบความสำเร็จในยุโรป ภายในสองถึงสามปีให้หลังซีไอเอก็เริ่มคิดว่าควรขยายการประชาสัมพันธ์ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ให้ครอบคลุมถึงในดินแดนสหภาพโซเวียตด้วย คราวนี้คณะกรรมการอเมริกันเพื่อการปลดปล่อยประชาชนรัสเซียซึ่งเป็นอีกองค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของซีไอเอเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ก่อตั้งแนวร่วมนี้
เช่นเดียวกับ Radio Free Europe คณะกรรมการได้ดึงดูดความรู้สึกของประชาชนในชาติของสหภาพโซเวียต โดยเปรียบเทียบกับลัทธิคอมมิวนิสต์ในฐานะรูปแบบใหม่ของจักรวรรดินิยมรัสเซีย คณะกรรมการได้สร้างความสัมพันธ์กับชาวยูเครน เบลารุส จอร์เจีย อาร์เมเนีย และกลุ่มคนนอกรีตอื่นๆ
Radio Liberty ไปได้ไกลมากในโซเวียต และกลายมาเป็นแหล่งข้อมูลอิสระที่สำคัญในโซเวียตสำหรับการนำเสนอรายละเอียดเหตุการณ์สำคัญที่สุดที่สื่อคอมมิวนิสต์ทางการพยายามปกปิด เช่น การลุกฮือในฮังการีในปี 1956 วิกฤตเบอร์ลินในปี 1961 และเหตุการณ์ปรากสปริงในปี 1968
สหภาพโซเวียตและรัฐบริวารพยายาม “รบกวน” การออกอากาศของ Radio Liberty ผ่านทางคลื่นความถี่วิทยุ แต่ก็ไม่เป็นผล การฟังคลื่นวิทยุเสรีของอเมริกันจึงกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพลเมืองโซเวียตหลายล้านคน ทำให้เกิดการตื่นรู้และคิดอยากเป็นอิสระ จนต่อมาผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายระหว่างประเทศเรียกสิ่งนี้ในเวลาต่อมาว่า “ซอฟต์เพาเวอร์”
ในปี 1967 นิตยสาร Ramparts ซึ่งเป็นนิตยสารของฝ่ายซ้ายในอเมริกาได้ตีพิมพ์บทความสืบสวนสอบสวนที่เน้นไปที่กิจกรรมของซีไอเอภายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาได้ให้เงินทุนลับแก่องค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่เป็นอิสระอย่างเป็นทางการหลายแห่ง และใช้องค์กรเหล่านี้ในการหาเหตุผลในการทำสงครามเวียดนาม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Radio Free Europe และ Radio Liberty [5]