19 มี.ค. เวลา 23:55 • ท่องเที่ยว

Egypt (02) .. Mummy & Book of Dead (คัมภีร์มรณะ) พลังศรัทธาหลังความตาย

อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราชหรือ 5500 ปีมาแล้ว ในบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา
.. เป็นอารยธรรมที่มี ความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆ และมีพัฒนาการสืบเนื่องต่อมาหลายพันปี
ชาวอียิปต์ได้สร้างความเจริญให้แก่ชาวโลกเป็นจำนวนมาก อารยธรรมส่วนใหญ่เกิดจากการสร้างสรรค์โดยภูมิปัญญาของชาวอียิปต์ ซึ่งได้ประดิษฐ์และคิดค้น ความเจริญด้านต่างๆ เพื่อตอบสนองความจำเป็นในการดำเนินชีวิตและความเชื่อทางศาสนา
ความเจริญด้านวิทยาการ ชาวอียิปต์สั่งสมความเจริญทางวิทยาการต่างๆ ให้แก่ชาวโลกหลายแขนง ที่สำคัญได้แก่ ความเจริญด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ การแพทย์ และอักษรศาสตร์
ด้านดาราศาสตร์ เกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์ที่น้ำในแม่น้ำไนล์หลากท่วมล้นตลิ่ง เมื่อน้ำลดแล้วพื้นดินก็มีความเหมาะสมที่จะเพาะปลูก หลังจากชาวนาเก็บเกี่ยว พืชผลแล้วน้ำในแม่น้ำไนล์ก็กลับมาท่วมอีก หมุนเวียนเช่นนี้ตลอดไป
ชาวอียิปต์ได้นำความรู้จากประสบการณ์ดังกล่าวไปคำนวณปฏิทิน นับรวมเป็น 1 ปี มี 12 เดือน ในรอบ 1 ปี ยังบ่งเป็น 3 ฤดูที่กำหนดตามวิถีการประกอบอาชีพ คือ ฤดูน้ำท่วม ฤดูไถหว่าน และฤดูเก็บเกี่ยว
ด้านคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการคำนวณขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การบวก ลบ และหาร และการคำนวณพื้นที่วงกลม สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยม ความรู้ ดังกล่าวเป็นฐาน ของวิชาฟิสิกส์ ซึ่งชาวอียิปต์ใช้คำนวณในการก่อสร้างพีระมิด วิหาร เสาหินขนาดใหญ่ ฯลฯ
ด้านอักษรศาสตร์ อักษรไฮโรกลิฟิกเป็นอักษรรุ่นแรกที่อียิปต์ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อประมาณปี 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นอักษรภาพแสดงลักษณ์ต่างๆ ต่อมามีการพัฒนา ตัวอักษรเป็นแบบพยัญชนะ
ด้านการแพทย์ มี ความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์มาก เอกสารที่บันทึกเมื่อ 1700 ปีก่อนคริสต์ศักราช ระบุว่าอียิปต์มีผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์หลายสาขา เช่น ทันตแพทย์ ศัลยแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร
ในสมัยนี้แพทย์อียิปต์สามารถผ่าตัดคนไข้แบบง่ายๆ ได้แล้ว นอกจากนี้ยังคิดค้นวิธีปรุงยารักษาโรคต่างๆ ได้จำนวนมาก โดยรวบรวมเป็นตำราเล่มแรก ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้กันแพร่หลายในทวีปยุโรป
การสร้างพีรามิดของชาวอียิปต์สะท้อนให้เห็นความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย และความเป็นอมตะของวิญญาณ ถ้าตายแล้วจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปและยังมีความเกี่ยวข้องกับร่างเดิมอยู่
ตายไปแล้วดวงวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิม จึงต้องเก็บร่างเอาไว้เพื่อรอรับการเกิดใหม่ จึงมีแนวความคิดในการรักษาร่างเดิมไว้ โดยการทำมัมมี่
มัมมี่ถูกทำขึ้นในครั้งแรกๆ ในสมัยราชวงศ์ที่ 4 และมีเรื่อยมาจนถึง ค.ศ.641
ในช่วงเวลาของอาณาจักรเก่า มีความเชื่อว่ามีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่จะกลับมาคืนร่างเดิมได้.. มัมมี่ของฟาโรห์จะถูกเก็บไว้ในภูเขาหิน หรือที่เรียกว่า “หุบเขากษัตริย์”
ต่อมาในยุคราชวงศ์ใหม่มีการสร้างวิหารขึ้นอีก 2 แห่ง คือ วิหารสำหรับทำพิธีพระศพของฟาโรห์ วิหารถวายเทพเจ้า เช่นวิหารของพระนางฮัทเซพสุต (Queen Hatshepsut) และวิหารคาร์นัค (Karnak)
ในสมัยต่อมาการทำมัมมี่ได้แพร่หลายสู่ขุนนางและสามัญชน หรือแม้กระทั่งสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า นอกจากความเชื่อในเทพเจ้าและการหมกมุ่นอยู่กับโลกหลังความตายแล้ว
.. ยังปรากฏว่า มีพัฒนาการความคิดทางด้านปรัชญาแฝงอยู่ในความเชื่อของชาวอียิปต์ เช่นในคัมภัร์มรณะ (The Book of Dead) ซึ่งเป็นหนังสือทางศาสนาและพิธีกรรมที่มีบทบาทต่อวิถีชีวิตของชาวอียิปต์มากที่สุด
เรื่องราวของการเดินทางหลังความตาย (after life) และบทสวดต่างๆ จะถูกเขียนบนกระดาษปาปิรุส และถูกฝังหรือเก็บไว้ในสุสานกับมัมมี่ เพื่อเป็นการนำทางและป้องกันอันตรายให้กับวิญญาณ หนังสือนี้รู้จักกันในนามของ Book of the Dead ซึ่งมีเล่มที่ค่อนข้างสมบูรณ์ถูกจัดแสดงที่ British Museum
น่าสนใจที่ได้เรียนรู้ว่า “โลกหลังความตาย” ในความเชื่อของคนอียิปต์โบราณ มิใช่การเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ แต่เป็นการเกิดใหม่ในโลกแห่งสวรรค์ ที่เรียกว่า Fields of Reeds หรือทุ่งต้นกก นั่นเอง
การเดินทางหลังความตายนั้น .. ว่ากันว่าวิญญาณต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ผ่านห้องที่ต้องพูดว่าไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ อย่างไรบ้าง รวมถึงแก่บรรดาเทพเจ้าต่างๆ ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการพิพากษาต่อไป
การพิพากษา .. เทพอนูบิส จะเป็นผู้พิจารณาความดีของผู้ตาย โดยการชั่งน้ำหนักหัวใจกับขนนก ถ้าความดีมากพอ (หัวใจเบากว่าขนนก) เทพ Horus จะพาไปพบกับเทพ Osiris เพื่อพาไปสวรรค์
คัมภีร์มรณะ หรือ Book of the Dead ของชาวอียิปต์โบราณ ไม่ใช่คำที่มาจากภาษาอียิปต์โบราณ ชาวไอยคุปต์โบราณเรียกคัมภีร์ที่พวกเขาเขียนขึ้นมานี้ว่า prt m hrw อ่านว่า “เพเรต เอม เฮรู” แปลว่า Spells for Coming Forth by Day .. คัมภีร์มรณะ หรือ Book of the Dead เป็นคำที่บัญญัติขึ้นมาโดยนักอียิปต์วิทยาสมัยใหม่
ในช่วงสมัยอาณาจักรโบราณ (Old Kingdom) ไม่มีการใช้คัมภีร์มรณะ แต่จะมีคัมภีร์ที่เรียกว่า Pyramid Text หรือจารึกพีรามิด ส่วนอาณาจักรกลาง (Middle Kingdom) จะใช้ Coffin Texts หรือจารึกโลงศพ … ส่วนคัมภีร์มรณะ มาใช้เอาในสมัยอาณาจักรใหม่ (New Kingdom)
คัมภีร์ทุกรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ตายเดินทางไปยังโลกหลังความตายอย่างปลอดภัย
คัมภีร์มรณะ จึงรับรูปแบบมาจากจารึกพีรามิดและจารึกโลงศพ ซึ่งประกอบไปด้วยเวทมนต์เท่าที่นักอียิปต์วิทยาค้นพบแล้วจำนวน 189 บท (อาจจะมีมากกว่านี้ แต่ยังไม่เจอ)
แต่ละคาถาจะมีเนื้อหาในการแนะนำผู้ตายที่กำลังจะเดินทางไปใช้ชีวิตในโลกหลังความตาย ให้การเดินทางราบรื่น จะบอกว่าในเส้นทางที่กำลังจะผ่านไปยังห้องตัดสินของเทพโอซิริสนั้น ระหว่างทางผู้ตายจะเจอด่านที่อาจจะเป็นอุปสรรคอะไรบ้าง และผู้ตายจะต้องแก้ไขในแต่ละด่านให้ลุล่วงได้อย่างไร เช่น หากต้องผ่านประตูที่ต้องรู้ชื่อเทพเจ้า ก็จะบอกเอาไว้ล่วงหน้า อันจะทำให้การเดินทางของผู้วายชนม์ราบรื่น
นอกจากนี้ยังมีคาถาอีกหลายๆอย่าง เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่มีในเส้นทางหลายๆรูปแบบ รวมถึงคาถาในการแปลงกาย เพื่อนำไปปรับใช้ในกรณีที่จำเป็น เป็นต้น
หากจะให้เข้าใจง่ายๆ .. คัมภีร์มรณะ คือ เฉลยข้อสอบที่ทำเป็นคู่มือไว้ล่วงหน้านั่นเอง
Ref : เนื้อความบางส่วนจาก http://www.gypzyworld.com/article/view/253
การเดินทางสู่โลกหลังความตาย ดูและเข้าใจง่าย
โฆษณา