Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
20 มี.ค. เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⚠️ การหยุดชะงักของการค้าส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้ออย่างไร?
ใครได้อ่านผลการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมาไปแล้ว น่าจะเห็นความเห็นของ พาวเวลล์ ว่า เงินเฟ้อจากมาตรการภาษีจะเป็น “ชั่วคราว” เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าการประชุมเฟดไม่กี่วัน ได้มี research paper ของนักเศรษฐศาสตร์ของเฟดปล่อยออกมา โดยใจความสำคัญคือ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พาวเวลล์พูดค่ะ และนี่เนื้อเนื้อหาโดยสรุป
👉🏻 ในอดีต เมื่อโลกมีการผสานทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากขึ้น เราจะเห็นสัดส่วนการค้าต่อ GDP โลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่หลังวิกฤตการเงินโลก การค้าโลกกลับชะลอหรือหยุดนิ่ง (ตามข้อมูลจากรูปที่ 1) สาเหตุสำคัญในช่วงหลังๆ ได้แก่ การตั้งกำแพงภาษีและข้อจำกัดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทานอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เหตุการณ์เหล่านี้ได้เพิ่มต้นทุนรวมถึงอุปสรรคต่อการค้า ทำให้เกิดความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะสูงขึ้นหากเกิดภาวะ “ถอยหลัง” ในแง่การผสานการค้าโลก (Global Economic Integration)
นักวิเคราะห์ได้ประเมินความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากการหยุดชะงักทางการค้าโดยใช้สองวิธี วิธีแรกคือนำข้อมูลการค้าหลายประเทศและหลายประเภทสินค้า (ทั้งสินค้าขั้นกลางและสินค้าขั้นสุดท้าย) มาเปรียบเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ในลักษณะของข้อมูล “ข้ามประเทศ” (Cross-Country) และ “ข้อมูลย่อย” (Disaggregated Trade Data)
จากการประเมินนี้พบว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุนนำเข้ามีผลกระทบต่อเงินเฟ้อค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อสินค้าขั้นกลาง (Intermediate Goods) มีราคาสูงขึ้น เพราะสินค้าขั้นกลางเป็นวัตถุดิบที่นำไปใช้ผลิตสินค้าประเภทอื่นๆ และคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของการค้าทั่วโลก (ดูรูปที่ 1 ส่วนเส้นสีแดง)
4
ต่อมา วิธีที่สอง เป็นการสร้างแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค (General Equilibrium Model) เพื่อจำลองสถานการณ์ว่าถ้าต้นทุนการค้าทั้งในสินค้าขั้นกลางและสินค้าสำเร็จรูประหว่างสหรัฐฯ กับจีนเพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงต้นทุนจะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นและคงอยู่ได้ยาวนานมากน้อยเพียงใด
การศึกษาพบว่าในกรณีที่มีการเพิ่มต้นทุนที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นจริงในช่วงปี 2018–2019 เล็กน้อย เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงได้ยาว คือการหยุดชะงักของสินค้าขั้นกลาง ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทต่างๆ ลดลง
📌 หลักฐานจากข้อมูลนานาชาติ
เพื่อดูผลของการหยุดชะงักทางการค้าต่อเงินเฟ้ออย่างเป็นรูปธรรม นักวิจัยสร้างตัวชี้วัดต้นทุนการค้าระหว่างประเทศ (Trade Costs) สำหรับ 41 ประเทศ ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1995 ถึงปี 2020 โดยใช้แนวทางที่เรียกว่า “สมการแรงดึงดูด” (Gravity Equation) ในทางเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางมาตรฐานที่ใช้คำนวณต้นทุนการค้า (เช่น ภาษีนำเข้า มาตรการกีดกันทางการค้า ระยะทางค่าขนส่ง ฯลฯ) เมื่อได้ตัวเลขต้นทุนการค้าแล้ว จึงนำไปเปรียบเทียบกับอัตราเงินเฟ้อในประเทศเหล่านั้น
ผลลัพธ์สำคัญคือต้นทุนการค้าทั่วโลกที่เคยลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 มาจนถึงปี 2008 เริ่มทรงตัวและไม่ค่อยลดลงต่อ (กราฟซ้ายมือ ของรูปที่ 2) ส่วนความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในช่วงปี 2018–2019 ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าขั้นกลาง (กราฟขวามือ ของรูปที่ 2)
เมื่อนักวิจัยนำข้อมูลเหล่านี้มาประเมินผลกระทบต่อ CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) พบว่าการเพิ่มต้นทุนทางการค้าประมาณ 10 จุดเปอร์เซ็นต์ในสินค้าขั้นกลางนำเข้าจากทุกประเทศ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อในปีแรกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 0.3%
ในทางกลับกัน ถ้าเป็นการเพิ่มต้นทุนของสินค้าสำเร็จรูป (เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคพร้อมใช้) ในสัดส่วนเท่ากัน จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้มากกว่านี้เล็กน้อยในช่วงแรก คือราว 0.5% แต่จะค่อยๆ ลดลงในระยะต่อมา ทั้งนี้ หากทั้งสินค้าขั้นกลางและสินค้าขั้นสุดท้ายมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นพร้อมกัน เงินเฟ้อจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากขึ้นไปอีก และกินเวลานานหลายปี (ดูได้ในรูปที่ 3)
🔥 กรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน
ในแบบจำลองมหภาคแบบหลายภูมิภาค (Multiregional Model) ที่ใช้ข้อมูลการค้าโลกและพฤติกรรมผู้บริโภค นักวิจัยได้ทดลองจำลองเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ เก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 20 จุดเปอร์เซ็นต์ และจีนเก็บภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ประมาณ 10 จุดเปอร์เซ็นต์ในสินค้ารายการต่างๆ ทั้งกลุ่มสินค้าขั้นกลางและสินค้าขั้นสุดท้าย ผลลัพธ์พบว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นถึง 0.5% เทียบกับกรณีที่ไม่มีการขึ้นภาษี โดยการเพิ่มขึ้นนี้มีแนวโน้มที่จะคงอยู่ต่อไป (ดูได้จากรูปที่ 4)
สาเหตุที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงยาวนาน เป็นเพราะสินค้าขั้นกลางอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือวัตถุดิบต่างๆ ที่เคยนำเข้าจากจีน เมื่อถูกเก็บภาษีจนต้นทุนเพิ่มขึ้น บริษัทในสหรัฐฯ ต้องหันไปใช้สินค้าจากแหล่งอื่น หรือผลิตเองในประเทศ ซึ่งมักมีคุณสมบัติหรือต้นทุนที่ไม่เหมือนกันเต็มร้อย ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมลดลง ราคาต้นทุนการผลิต (Marginal Cost) จึงยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง
และในขณะเดียวกัน นโยบายการเงินที่ต้องรักษาเสถียรภาพราคา อาจต้องใช้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ GDP เติบโตช้าลงกว่าในกรณีไม่มีการปรับขึ้นภาษี (รูปที่ 4 กราฟขวา)
สำหรับจีนเองก็ได้รับผลกระทบคล้ายกัน โดย GDP ลดลงมากกว่าสหรัฐฯ เล็กน้อย ส่วนประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสองประเทศนี้ อาจได้อานิสงส์ทางอ้อม เพราะสหรัฐฯ และจีนอาจหันไปนำเข้าจากที่อื่นแทน แต่อย่างไรก็ตาม ภาพรวมโลกก็มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น
🎯 บทสรุป
โดยรวมแล้ว การหยุดชะงักของการค้า โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าขั้นกลาง มีแนวโน้มสร้างผลกระทบที่ “ฝังลึก” ต่อเงินเฟ้อ เนื่องจากกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ผลจากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ราคาสินค้าที่ผลิตในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย
เหตุการณ์ระยะหลังๆ ที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านการค้า เช่น การตั้งกำแพงภาษี สงคราม หรือการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ ล้วนเป็นสาเหตุให้ต้นทุนการผลิตระดับโลกเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มส่งผ่านไปที่ราคาสินค้าขั้นสุดท้าย สร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้คงสูงไว้นานขึ้นกว่าปกติ
Source: Federal Reserve
การลงทุน
เศรษฐกิจ
การเงิน
1 บันทึก
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย